ฝนมา น้ำไม่ไป กทม.เป็นเมืองไม่พรุน | วาระทีดีอาร์ไอ

ฝนมา น้ำไม่ไป กทม.เป็นเมืองไม่พรุน | วาระทีดีอาร์ไอ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม และด้วยอิทธิพลจากลานีญา ทำให้ในปีนี้ ประเทศไทยมีปริมาณฝนที่มากกว่าปกติในหลายพื้นที่

ยังไม่นับรวมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้สภาพอากาศแปรปรวนมากขึ้น และอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ระเบิดฝน" หรือที่เรียกว่า Rain Bomb หรือ Cloudburst ฝนแบบนี้จะตกหนักมากในระยะเวลาสั้นๆ หากเกิดในพื้นที่เมืองซึ่งระบบระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ก็จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขัง

ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร เตรียมพร้อมรับมือปริมาณฝนที่จะเข้ามาในช่วงฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขุดลอกและพร่องน้ำในระบบคูคลอง การจัดการขยะและไขมันในระบบท่อระบายน้ำ รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำด้วยอุโมงค์ระบายน้ำ ทั้งที่ดำเนินการก่อสร้างแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ

ทว่า กรุงเทพฯ ยังคงเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมขังหลังฝนตกหนักอยู่ในหลายพื้นที่ เช่นที่เคยเกิดน้ำท่วมขังบนถนนบางนา-ตราดหลังฝนตกหนักจนทำให้รถติดสะสมเป็นระยะทางที่ยาวถึง 31 กิโลเมตร ในพื้นที่รอยต่อระหว่างกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สาเหตุส่วนหนึ่งของน้ำท่วมขัง อาจมาจากการที่ กรุงเทพฯ ยังพรุนไม่พอ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ความพรุน” กำลังเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่หลายเมืองทั่วโลกเริ่มให้ความสำคัญ ความพรุนเป็นแนวคิดการออกแบบที่มีมานานแล้วในแวดวงภูมิสถาปัตย์ ซึ่งหมายถึงการออกแบบพื้นที่ให้สามารถซึมน้ำได้ โดยเพิ่มการใช้พื้นผิวที่มีลักษณะพรุน เช่น ยางมะตอยพรุนหรือคอนกรีตพรุน (Porous asphalt / concrete) ไปจนถึงการเพิ่ม สวนสาธารณะ สวนน้ำฝน (Rain garden) สวนบนดาดฟ้าอาคาร และสวนแนวตั้ง

สวนเหล่านี้จะทำหน้าที่ดูดซึมและหน่วงน้ำ ช่วยลดปริมาณและความแรงของน้ำฝนที่จะเข้าสู่ระบบระบายน้ำ อันเป็นการลดการพึ่งพาระบบระบายน้ำในการจัดการน้ำฝนและน้ำท่วมแต่เพียงอย่างเดียว ในต่างประเทศ มีหลายเมืองที่มียุทธศาสตร์เพิ่มความพรุนให้กับเมือง เพื่อจัดการปัญหาน้ำท่วม

เช่น หลายเมืองในสาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ อู่ฮั่น ได้นำแนวคิด “เมืองฟองน้ำ” มาใช้ปรับปรุงบางส่วนของพื้นที่เมืองให้พรุนมากขึ้น ด้วยการเพิ่มพื้นที่สวน แหล่งรับน้ำ และการปูพื้นทางเท้าหรือถนนด้วยวัสดุแบบซึมน้ำ

หรือแม้แต่เมืองในยุโรปอย่างกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก มีแผนการรับมือ Cloudburst อย่างจริงจัง โดยการเพิ่มสวนน้ำฝนตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วเมือง หรือทำร่องน้ำชีวภาพ (Bioswales) ซึ่งเป็นร่องน้ำตื้นๆ ที่มีพืชพรรณปกคลุม ทำหน้าที่ชะลอการไหลของน้ำ

รวมทั้งเมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ อย่างสิงคโปร์ มียุทธศาสตร์เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้เมือง ถึงแม้จะมุ่งเน้นไปที่การลดความร้อนในตัวเมือง ด้วยการส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีพื้นที่สีเขียวและสวนแนวตั้ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ก็ช่วยสร้างความพรุนให้กับสิงคโปร์ได้เช่นเดียวกัน

ในขณะเดียวกัน เมืองต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่ได้ละทิ้งระบบระบายน้ำหลัก เช่น ท่อระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำ ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของเมือง โดยมีการเพิ่มศักยภาพของระบบท่อระบายน้ำ และบำรุงรักษาระบบเหล่านี้ให้พร้อมใช้งานอย่างเต็มศักยภาพอยู่เสมอ

จะเห็นได้ว่าการจัดการน้ำที่ดีนั้น เป็นการทำงานควบคู่กันไปของโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว-ฟ้า (Green-Blue infrastructure) หรือ พื้นที่สีเขียวและพื้นที่รับน้ำ และโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (Grey infrastructure) หรือระบบระบายน้ำ

 

แต่ทว่าเมื่อหันกลับมาที่กรุงเทพฯ คำถามสำคัญของการจัดการน้ำฝนที่ผ่านมาคือ โครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและฟ้า ซึ่งจะทำให้เมืองพรุนและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำของระบบระบายน้ำนั้น ควรถูกนำมาใช้มากขึ้นในพื้นที่เมืองหรือไม่?

จะทำอย่างไรให้ “สวนน้ำฝน” ที่สามารถรับน้ำและหน่วงน้ำ เช่น อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสวนป่าเบญจกิติ เกิดขึ้นในพื้นที่สวนอื่นๆ ของกรุงเทพฯ มากขึ้น?

รวมทั้งจะทำให้อย่างไรให้วัสดุอย่างยางมะตอยพรุนหรือคอนกรีตพรุน ซึ่งเริ่มมีให้เห็นบ้างแล้วในบริเวณฐานของต้นไม้ริมทางเท้า ถูกนำมาใช้กับพื้นที่บางส่วนของถนนหรือทางเท้าทั่วกรุงเทพฯ? หรือจะทำอย่างไรให้อาคารสูงและโครงสร้างพื้นฐานทั่วกรุงเทพฯ มีสวนดาดฟ้าและสวนแนวตั้งเพิ่มขึ้น?

การจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ คงหนีไม่พ้นการที่ภาครัฐต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อเพิ่มความพรุนให้กับเมือง ทั้งจากการดำเนินงานของภาครัฐ-เมืองเอง หรือเพิ่มแรงจูงให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเพิ่มความพรุนด้วยพื้นที่สีเขียว-พื้นที่รับน้ำ ผ่านมาตรการอุดหนุนทางทั้งการเงิน ภาษี และผังเมือง

การเพิ่มความพรุนให้เมืองนั้น ยังจัดเป็นแนวนโยบายที่สร้างประโยชน์ร่วม (co-benefit) เพราะไม่เพียงแต่ช่วยจัดการปัญหาน้ำท่วม แต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและนันทนาการ ลดปัญหามลภาวะ ลดปัญหาเกาะความร้อนในเขตเมือง ซึ่งล้วนส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในเมืองดีขึ้นด้วยทั้งสิ้น นโยบายที่ทำหนึ่งแต่สามารถอย่างสร้างประโยชน์หลายอย่างในลักษณะนี้ เป็นนโยบายที่จะคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์เสมอ

ถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพฯ จะต้องพิจารณาเพิ่ม “ความพรุน” ในมิติการพัฒนาเมือง เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้ เพื่อที่คนกรุงจะได้ไม่ต้องลุ้นทุกครั้งที่ฝนตกว่า จะเกิดน้ำท่วมขังจนถนนกลายเป็นคลองเหมือนอย่างที่ผ่านมา