เขย่าเครือข่าย 'ขยะอุตสาหกรรมมรณะ' เจาะลึกต้นตอ หายนะข้ามจังหวัด

หายนะจากกากอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงฝันร้ายเฉพาะจุด แต่คือผลพวงจาก "อาชญากรรมสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง" ที่บริษัท เอกอุทัย จำกัด และเครือข่าย วิน โพรเสส ก่อกรรมทำเข็ญมานานนับปี สารเคมีพิษไม่ได้เพียงกัดกินแผ่นดินและชีวิต แต่ยังกัดกร่อนงบประมาณชาติมหาศาล!
KEY
POINTS
- เครือข่ายพิษ: เอกอุทัย และ วิน โพรเสส คือตัวการหลักลักลอบทิ้งกากสารเคมีอันตรายทั่วประเทศ
- ต้นตอหายนะ: เริ่มจากชาวบ้านร้องเรียนสารเคมีปนเปื้อนในอยุธยา นำไปสู่การเปิดโปงเครือข่ายและการยึดอายัดกากพิษ
- ผลกระทบแสนสาหัส: ทำลาย สุขภาพ (สารเคมีกัดกร่อน, โรคระยะยาว), สิ่งแวดล้อม (ดิน-น้ำปนเปื้อน, สัตว์น้ำตาย) และสร้าง ภาระเศรษฐกิจมหาศาล (ค่าฟื้นฟูเกือบ 10,000 ล้านบาท)
- ดำเนินคดี: มีการเพิ่มโทษทางกฎหมายและดำเนินคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายและเป็นบทเรียน
- สถานะปัจจุบัน: กำจัดกากบนดินไปบางส่วน แต่ ยังเหลือกากกว่า 7,000 ตัน และกากใต้ดินอีกมาก ซึ่งต้องใช้งบประมาณและเทคนิคซับซ้อนในการฟื้นฟู
ปัญหากากอุตสาหกรรมในประเทศไทยได้สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยมี บริษัท เอกอุทัย จำกัด เป็นเครือข่ายสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบทิ้งและฝังกลบสารเคมีอันตรายทั่วประเทศ
ต้นกำเนิดและเครือข่ายโยงใย
วริทธิ์ สมทรง วิศวกรชำนาญการพิเศษ กรมโรงงาน อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า เรื่องราวหลักเริ่มต้นที่ โกดัง 5 หลังในตำบลภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ดินเอกชน 2 แปลง หนึ่งแปลงเป็นของบริษัท เพชร พืช ผล จำกัด ที่ให้บริษัท เพาะ สร เช่า อีกแปลงของนายวิวัฒน์ ที่ให้นายจตุวุฒิ (กรรมการบริษัท ซันเทค เคมีคอล) เช่า
แท้จริงแล้ว บริษัท เอกอุทัย เป็นผู้ใช้ชื่อบริษัท เพาะ สร เข้ามาทำสัญญาเช่า โดยอ้างว่าจะทำอู่ซ่อม แต่กลับใช้เป็นสถานที่รับและซุกซ่อนกากอุตสาหกรรม ก่อนจะลักลอบนำไปทิ้งในพื้นที่อื่นๆ ของพระนครศรีอยุธยา
เครือข่ายของบริษัท เอกอุทัย ยังขยายไปอีก 3 สาขาหลักที่รับกากอุตสาหกรรมโดยไม่มีการจัดการที่ถูกต้อง ได้แก่ ตำบลสันฐิต อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, ตำบลกลางดง จังหวัดนครราชสีมา และ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเชื่อมโยงกับ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ที่จังหวัดระยอง โดยมีบุคคลเบื้องหลังและกรรมการเป็นเครือข่ายเดียวกัน
การค้นพบและการดำเนินการ
ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อชาวบ้านในตำบลภาชีร้องเรียนตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. 2566 ถึงการปนเปื้อนสารเคมีสีส้มเข้มที่หกเรี่ยราดตามถนนและนาข้าว
วันที่ 23 ก.พ. 2566 เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและพบกากอุตสาหกรรมเต็มโกดัง รวมถึง "ลักเกอร์บ็อกซ์" สีเขียวที่มีตัวอักษร "AEK" ซึ่งส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน โรงงานพยายามเคลื่อนย้าย ทำลายหลักฐาน ทั้งเทสารเคมีลงดิน ก่อกำแพงปิด และพ่นสีทับบนถัง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงสามารถเข้าตรวจสอบและยึดอายัดของทั้งหมดได้ในที่สุด
การสอบสวนคนเฝ้าโกดังที่ภาชี ซึ่งรับเงินเดือนจาก บริษัท ซันเทค เคมีคอล แอนด์ โลจิสติกส์ นำไปสู่การขยายผลและพบว่าบริษัทซันเทคในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็มีการเก็บวัตถุอันตรายเช่นกัน แม้จะมีใบอนุญาตเพียงแค่รับขยะไม่อันตราย
การดำเนินคดีและบทลงโทษ
ในระยะแรก การดำเนินคดีเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกฎหมายมีโทษจำคุกไม่สูงนัก แต่ต่อมาได้มีการนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 228 และ 237 ซึ่งมีโทษจำคุก 5-7 ปี มาใช้ ทำให้สามารถขอหมายจับผู้เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น
คดีของบริษัท วิน โพรเสส ถูกนำมาเป็นต้นแบบในการดำเนินคดี โดยมีการลงโทษจำคุกผู้ที่อยู่เบื้องหลัง 5 ปี 10 เดือน และปรับ ปัจจุบันคดีที่ภาชีกำลังอยู่ในกระบวนการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มผู้ต้องหาและข้อหา ซึ่งมีอายุความ 15-20 ปี และมีการดำเนินคดีแพ่งควบคู่กันไปเพื่อเรียกค่าเสียหายในการฟื้นฟู
คดีตัวอย่างที่ ตำบลดีรัง จังหวัดลพบุรี ซึ่งบริษัท เอกอุทัยเคยทิ้งกากไว้ 10,000 ตัน ศาลได้พิพากษาให้บริษัทรับผิดทางอาญาและให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่กระทรวงอุตสาหกรรมถึง 124 ล้านบาท
แม้ว่านายพัฒ บุญจันทร์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญเบื้องหลังจะเสียชีวิตแล้ว แต่คดีอาญากับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องและตัวบริษัทยังคงดำเนินต่อไป
ลักษณะกาก
กากที่พบส่วนใหญ่เป็น สารเคมีที่เป็นกรด มีการลักลอบฝังใต้ดินจำนวนมาก รวมถึงการสร้างบ่อคอนกรีตลึก 4 เมตร เพื่อเทสารเคมีลงไป
ผลกระทบที่เกิดขึ้นร้ายแรงมาก ทั้งการปนเปื้อนที่นาและพื้นที่โดยรอบ ทำให้น้ำเสียมีสีส้มและเป็นกรดเข้มข้น ปลาในบ่อข้างเคียงตายหมด และมีความกังวลถึงการซึมทะลุลงสู่ชั้นน้ำบาดาล ความเสียหายที่เกิดจากเครือข่ายนี้มีมูลค่ามหาศาล บางแหล่งระบุว่าก่อคดีไว้เกือบ 500 คดี และสร้างความเสียหายต่อประเทศอย่างมาก
การฟื้นฟูและการจัดการในปัจจุบัน
ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า บริษัท เอกอุทัย ตำบลสันฐิต ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้เพิกถอนใบอนุญาตแล้ว และที่ดินถูกเจ้าหนี้ยึดอายัดขายทอดตลาด อาคารบางส่วนเสียหายจากการกัดกร่อนของสารเคมี
มีการฟื้นฟูในเฟสแรกไปแล้ว โดยจัดเก็บกากบนดิน 300-400 ตัน ด้วยงบประมาณ 6 ล้านบาท แต่ยังเหลือกากบนดินอีกกว่า 7,000 ตัน ไม่รวมที่ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งต้องใช้งบประมาณอีก 6 ล้านบาทสำหรับการจัดการเฟสถัดไป การจัดการกากใต้ดินและชั้นน้ำบาดาลเป็นความท้าทายใหญ่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท
ที่โกดังภาชี กากอุตสาหกรรมบนดินถูกเคลียร์และนำหินปูนมาผสมเพื่อปรับสภาพความเป็นกรด แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีการฝังใต้พื้นปูนหรือไม่
เจ้าหน้าที่ยังคงเน้นย้ำให้เจ้าของที่ดินที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่บริษัท ซันเทค ซึ่งมีการสร้างโกดังใหม่และให้เช่า ควรตรวจสอบการใช้งานอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยอีกในอนาคต
สถานะปัจจุบันของกากอุตสาหกรรม
มนต์ชัย พูนภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเออาร์เอฟ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงเหลือกากอุตสาหกรรม ในพื้นที่ประมาณ 7,000 กว่าตัน และยังไม่รวมกากที่ฝังอยู่ใต้ดินอีกจำนวนมาก กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดสรรงบประมาณอีก 6 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในเฟสถัดไป โดยจะเริ่มที่อาคารหมายเลข 1062 ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปตัว L
แผนการจัดการกากใต้ดิน
ในส่วนของ กากใต้ดิน นั้น เป็นแผนการจัดการในอนาคตที่คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณในปี 2569 โดยจะต้องมีการสำรวจปริมาณที่แน่ชัดก่อน ซึ่งมีแนวคิดหลัก 2 วิธีในการจัดการกากใต้ดิน
- การขุดขึ้นมากำจัดภายนอก: วิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจต้องใช้เทคนิคพิเศษในการจัดการ
- การสกัดกั้นการแพร่กระจาย (Block): เป็นการใช้เทคนิคทางวิศวกรรม เช่น การติดตั้งชีทไพล์ (sheet pile) หรือสร้างกำแพงดินซีเมนต์ (cp high wall) ล้อมรอบพื้นที่ปนเปื้อน เพื่อป้องกันสารเคมีแพร่กระจายลงสู่ชั้นน้ำบาดาล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำบาดาลได้ให้ความเห็นว่าการสกัดกั้นทำได้ยากมากในทางปฏิบัติเนื่องจากสภาพชั้นดิน แม้ว่าดินเหนียวจะช่วยชะลอการซึมได้บ้าง แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่สารเคมีจะซึมลงสู่ใต้ดินได้
ผลกระทบด้านต่างๆ
1.ผลกระทบด้านสุขภาพ
ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มได้รับความเดือดร้อนจาก สารเคมีที่แพร่กระจาย มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมีรายงานว่า กรดมีกลิ่นฟุ้งกระจาย ทั่วบริเวณ ไอระเหยของสารเคมีเหล่านี้สามารถแพร่กระจายได้อย่างต่อเนื่องและจะยิ่ง กัดกร่อนเร็วขึ้นเมื่อโดนความชื้น ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ผู้ที่อยู่ในพื้นที่อาจมี อาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ขณะที่คนงานที่สัมผัสโดยตรงมีความเสี่ยงสูงที่จะ พิการถาวร หากสารเคมีเข้าตา แขน หรือขา ผลกระทบต่อสุขภาพมักจะไม่แสดงอาการทันที แต่จะ สะสมและทำลายสุขภาพในระยะยาว ทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงเมื่อเวลาผ่านไป ปัจจุบันพื้นที่บางแห่งยังคงเป็น อันตรายสูง ผู้ที่เข้าไปยังต้องสวมหน้ากากอนามัยและระมัดระวังเป็นพิเศษ
2.ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการดำรงชีวิต
สภาพแวดล้อมได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก สารเคมีสีส้มโจ๊กที่เรี่ยราด ริมถนน พื้นที่นาของชาวบ้านได้รับความเสียหายจากการปนเปื้อนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น้ำในบริเวณโรงปูนมี สีส้มและเป็นกรดเข้มข้น ขณะที่ ปลาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ในบ่อข้างเคียงตายหมด ความกังวลที่สำคัญคือสารเคมีอาจ ทะลุลงสู่ชั้นน้ำบาดาล และไหลลงบ่อสาธารณะ ซึ่งอาจแพร่กระจายไปในวงกว้าง นอกจากนี้ยังมีการ ลักลอบนำสารเคมีไปทิ้งและฝังใต้ดิน ในพื้นที่ต่างๆ ของพระนครศรีอยุธยาอีกด้วย
3.ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม
ชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสทั้งทางร่างกายและจิตใจ การฟื้นฟูสภาพปนเปื้อนในอยุธยาเพียงแห่งเดียว คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณสูงถึง เกือบ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระมหาศาลต่อเงินภาษีของประชาชนและสะท้อนถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศ ผู้กระทำผิดถูกมองว่าเป็น อาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง เนื่องจากกระทำการโดยมักง่ายและมีเจตนาทำร้ายประชาชน มีรายงานว่าคดีของบริษัทเอกอุทัยและวินโพเสส ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน ได้ก่อ อาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมเกือบ 500 คดี และถือเป็นผู้กระทำรายใหญ่ที่สุดที่สร้างความเสียหายในหลายจังหวัด
แม้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหลักบางคนจะเสียชีวิตแล้ว แต่คดีอาญาและคดีแพ่งกับบุคคลและบริษัทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อไป เพื่อ ตัดวงจรปัญหานี้และเป็นตัวอย่าง ให้กับสังคม ประชาชนมีบทบาทสำคัญในการ เฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วต่อไป







