‘ไมโครพลาสติก’ ภัยเงียบขั้วโลกใต้ กระทบห่วงโซ่อาหารแอนตาร์กติก

‘ไมโครพลาสติก’ ภัยเงียบขั้วโลกใต้ กระทบห่วงโซ่อาหารแอนตาร์กติก

แม้แอนตาร์กติกจะเป็นดินแดนห่างไกลจากอารยธรรม แต่ไมโครพลาสติกกลับแทรกซึมเข้าทำลายห่วงโซ่อาหารอย่างเงียบงัน ตั้งแต่สัตว์ตัวจิ๋วอย่างคริลล์ จนถึงเพนกวินและสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และอาจย้อนกลับมาหามนุษย์โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

การพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายที่ 14 : การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสำคัญต่อมนุษย์ เพราะเป็นแหล่งอาหารและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมนุษยชาติ จากการศึกษาทดลองค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจที่สะท้อนถึงผลกระทบจากไมโครพลาสติกในมหาสมุทรที่คาดไม่ถึง แม้แอนตาร์กติกจะเป็นดินแดนห่างไกลจากอารยธรรม แต่ไมโครพลาสติกกลับแทรกซึมเข้าทำลายห่วงโซ่อาหารอย่างเงียบงัน ตั้งแต่สัตว์ตัวจิ๋วอย่างคริลล์ จนถึงเพนกวินและสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ - พร้อมทั้งพร้อมจะย้อนกลับมาหามนุษย์โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

ขั้วโลกที่ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป

แม้ทวีปแอนตาร์กติกจะอยู่ห่างไกลจากแหล่งอุตสาหกรรมและเขตประชากรหนาแน่น แต่ความบริสุทธิ์ของดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้กลับไม่ได้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่แฝงตัวอย่างเงียบงัน นั่นคือ “ไมโครพลาสติก” – อนุภาคพลาสติกขนาดเล็กจิ๋วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กำลังกลายเป็นมลพิษระดับโลกที่แทรกซึมเข้าสู่ระบบนิเวศ แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดของโลก

จากคริลล์ตัวเล็ก สู่ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่

จากงานวิจัยเรื่อง “การสะสมไมโครพลาสติกในคริลล์ แหล่งอาหารของเพนกวินแอนตาร์กติก” ซึ่งผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยภายใต้การให้คำปรึกษาของ ศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ และ ศ.ดร.สุขนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยได้เก็บตัวอย่างคริลล์ซึ่งเป็นอาหารของเพนกวินในพื้นที่ขั้วโลกใต้ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 พบว่า คริลล์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กคล้ายกุ้งและมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทางทะเล มีไมโครพลาสติกสะสมเฉลี่ยถึง 9 ชิ้นต่อตัวอย่าง โดยชนิดของพลาสติกที่ตรวจพบมากที่สุดคือ โพลิโพรพิลีน (PP) ซึ่งมักใช้ในถุงพลาสติกและบรรจุภัณฑ์ทั่วไป คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 55.55% รองลงมาคือโพลิเอไมด์ (PA) ที่พบในอวนประมงและเส้นใยสังเคราะห์ คิดเป็น 22.22% ตามด้วยโพลิเอทิลีน (PE) และพอลิสไตรีน (PS) ซึ่งมักพบในขวดน้ำพลาสติกและกล่องโฟม คิดเป็นอย่างละ 11.11%

แม้คริลล์จะมีขนาดเล็ก แต่ผลกระทบที่ตามมานั้นใหญ่โตเกินกว่าจะมองข้ามได้ เพราะเมื่อเพนกวิน แมวน้ำ หรือปลาวาฬ ซึ่งเป็นผู้ล่าลำดับบนของห่วงโซ่อาหารบริโภคคริลล์ที่ปนเปื้อนไมโครพลาสติกเข้าไป พลาสติกเหล่านั้นก็จะเข้าสู่ร่างกายของพวกมันเช่นกัน ส่งผลกระทบทั้งทางสรีรวิทยา เช่น การอักเสบของทางเดินอาหาร การรบกวนระบบย่อยอาหาร ไปจนถึงการลดอัตราการรอดชีวิต ซึ่งอาจกระทบต่อความสมดุลของระบบนิเวศในระยะยาว

น้ำแข็งละลาย = ไมโครพลาสติกหลุดรอด

ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบความเชื่อมโยงที่น่ากังวลระหว่างไมโครพลาสติกกับภาวะโลกร้อน เมื่อน้ำแข็งในแถบขั้วโลกละลายจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ไมโครพลาสติกที่เคยถูกกักเก็บไว้ในน้ำแข็งก็ถูกปลดปล่อยออกสู่ทะเลอย่างต่อเนื่อง เป็นวงจรที่เร่งให้ปัญหานี้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี

จากเพนกวินถึงเรา : ห่วงโซ่ที่ย้อนกลับมาสู่มนุษย์

ในที่สุด เมื่อห่วงโซ่อาหารเริ่มต้นด้วยสิ่งปนเปื้อน ผลกระทบก็จะสะสมไล่ระดับไปจนถึงสัตว์น้ำขนาดใหญ่ นกทะเล แมวน้ำ และมนุษย์ที่บริโภคสัตว์น้ำเหล่านั้น ปัญหาไมโครพลาสติกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่คือเรื่องของความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ และอนาคตของมนุษยชาติ

โอกาสแห่งการร่วมมือ : คือทางรอดที่ยังมีอยู่

งานวิจัยชิ้นนี้ยังสะท้อนและชวนให้ตระหนักถึงความสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 13 ว่าด้วยการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายที่ 14 ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอย่างยั่งยืน การหยุดยั้งการแพร่กระจายของไมโครพลาสติกในห่วงโซ่อาหารจากเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอย่างยั่งยืน จึงจำเป็นต้องเกิดจากความร่วมมือในทุกระดับและทุกภาคส่วน ตั้งแต่การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว การส่งเสริมวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่าย การควบคุมการปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล ตลอดจนการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อเข้าใจผลกระทบเชิงลึกในระยะยาวที่มีมลต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะในมนุษย์นั่นเอง

เสียงเตือนจากขั้วโลกที่ทุกคนต้องฟัง

ในความเงียบงันของแอนตาร์กติกที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง มีเสียงเตือนจากธรรมชาติที่เราควรรับฟัง การศึกษานี้ไม่ใช่เพียงแค่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่คือคำเตือนจากโลกใบนี้ว่า “ไม่มีที่ไหนปลอดภัยจากพลาสติกอีกต่อไป” และการแก้ปัญหาไมโครพลาสติกไม่ควรถูกผลักเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์หรือผู้กำหนดนโยบายฝ่ายเดียว หากแต่ต้องเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเราทุกคน เพราะขวดน้ำเพียงขวดเดียวที่เราทิ้ง อาจส่งผลถึงเพนกวินและสัตว์ทะเล ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตรในดินแดนน้ำแข็งอันบริสุทธิ์แห่งนี้