‘ป่าเขตร้อนโลก’ วิกฤติ! ปี 2567 สูญเสีย 67,000 ตารางกิโลเมตร

นักวิจัยคาด ปีที่แล้วพื้นที่ป่าดั้งเดิมที่อุดมสมบูรณ์ของโลก สูญหายไปราว 6.7 หมื่นตารางกิโลเมตร ก่อให้เกิดคำถามถึง “ความสามารถในการฟื้นตัวของป่า” ประเภทนี้ ในขณะที่โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ
บีบีซีเผย จากการวิเคราะห์พื้นที่ป่าด้วยดาวเทียมรอบใหม่พบว่า “ป่าเขตร้อนของโลก” ที่เป็นตัวช่วยลดผลกระทบสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ พังทลายและสูญหายไปอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ในปี 2567
นักวิจัยคาดว่าในปีที่แล้วพื้นที่ป่าดั้งเดิมที่อุดมสมบูรณ์ของโลก สูญหายไปราว 6.7 หมื่นตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดเกือบเท่ากับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ หรือสนามฟุตบอล 18 สนามที่หายไปทุกๆ นาที
“ไฟ” คือสาเหตุหลักที่ทำให้พื้นที่เกษตรกรรมเสียมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ป่าแอมะซอนได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงท่ามกลางภาวะภัยแล้งที่รุนแรงมากเป็นประวัติการณ์
ด้วยป่าฝนเขตร้อนกักเก็บคาร์บอนลงดินและลำต้นได้หลายแสนล้านตัน แต่การสูญเสียป่ามากเป็นประวัติการณ์นั้นก่อให้เกิดคำถามถึง “ความสามารถในการฟื้นตัวของป่า” ประเภทนี้ ในขณะที่โลกกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ป่าแอมะซอนน่าห่วง
นักวิจัยหลายคนกังวลว่าป่าบางแห่งอย่างเช่น “แอมะซอน” อาจกำลังเข้าใกล้ “จุดเปลี่ยน” ซึ่งหากเกินกว่านั้นอาจถึงจุดตกต่ำลงอย่างที่ไม่สามารถฟื้นกลับคืนได้
ศาสตราจารย์แมทธิว แฮนเซน ผู้อำนวยการร่วมห้องปฏิบัติการ GLAD ของมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ที่รวบรวมข้อมูลป่า บอกว่า ผลการวิจัยใหม่นี้ “น่ากลัว” และส่งเสียงเตือนถึงความเป็นไปได้ที่ป่าฝนจะ “กลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา” อย่างถาวร
ผลการวิจัยอีกชิ้นที่เผยแพร่ช่วงกลางเดือนพ.ค. พบผลลัพธ์ที่คล้ายกันที่บ่งบอกว่า “ป่าแอมะซอนอาจหายไปจำนวนมาก” หากโลกร้อนมากขึ้นเกิน 1.5 องศาเซเลซียส ตามเป้าหมายสากลที่โลกกำหนดไว้
สถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่คุกคามสัตว์ป่าที่อาศัยอยู่ในป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายแรงต่อสภาพอากาศโลกอีกด้วย
จนถึงปัจจุบันป่าแอมะซอนได้ช่วยเหลือมนุษยชาติด้วยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ทำให้โลกร้อน มากกว่าที่ป่าปล่อยออกมา แต่การเผาป่าเหล่านี้กลับปล่อย CO2 ปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นแทนที่จะช่วยบรรเทาวิกฤติ
นอกจากนี้ในปี 2566-67 ป่าแอมะซอนยังประสบกับภัยแล้งครั้งเลวร้ายที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งภัยแล้งเป็นสภาพแวดล้อมที่ทำให้ไฟป่าลุกลามได้ง่ายและควบคุมได้ยาก ขณะที่บราซิลและโบลิเวียได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากภัยแล้งนี้
ด้านนักวิจัยประเมินว่าการสูญเสียพื้นที่ป่าดิบชื้นที่เก่าแก่ของโลกในปริมาณมหาศาล ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนถึง 3.1 ล้านตันซึ่งเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหภาพยุโรป (อียู) เพียงแห่งเดียว
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ป่าของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับไม่ย่ำแย่ลงไปตามเทรนด์โลก
เอเชียมีสัญญาณบวก
การสูญเสียพื้นที่ป่าดิบหรือป่าไม้ปฐมภูมิในอินโดนีเซียลดลง 11% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปี 2566 แม้ว่าจะเกิดภัยแล้งก็ตาม
เอลิซาเบธ โกลด์แมน ผู้อำนวยการร่วมโครงการโกลบอล ฟอเรสต์ วอตช์ Global Forest Watch ของ WRI กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของรัฐบาลและชุมชนในภูมิภาคในการบังคับใช้กฎหมาย “ห้ามเผา”
“อินโดนีเซียเป็นตัวอย่างที่ดีในปี 2567” โกลด์แมนกล่าว
ด้านแกเบรียล แลบเบต หัวหน้าฝ่ายบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงการป่าไม้แห่งสหประชาชาติ (UNREDD) ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายงานวิจับของ WRI ก็เห็นด้วยเช่นกัน
“เจตจำนงทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ” แลบเบตกล่าว
ประเทศอื่นๆ รวมถึงบราซิล ก็ประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีตด้วยแนวทางที่คล้ายกัน แต่เริ่มมีการสูญเสียป่าเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2557 หลังจากรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบาย
ศาสตราจารย์แฮนเซน กล่าวว่า แม้ความคืบหน้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นไปในทางบวก แต่ความไม่แน่นอนของการสูญเสียป่าไม้ในบราซิลแสดงให้เห็นว่านโยบายคุ้มครองป่าควรมีความสอดคล้องกัน
“กุญแจสำคัญที่เรายังไม่เห็นคือความสำเร็จในการลดและรักษาระดับการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศเหล่านี้ให้ต่ำอย่างต่อเนื่อง และหากคุณสนใจที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม คุณต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องและถาวร” แฮนเซนกล่าวกับบีบีซีนิวส์
ทั้งนี้ บรรดานักวิจัยเห็นพ้องกันว่าการประชุมสุดยอดด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP30 ในปีนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นในแอมะซอน จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแบ่งปันและส่งเสริมโครงการปกป้องป่า และในที่ประชุมดังกล่าวอาจมีข้อเสนอที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ การให้รางวัลแก่ประเทศที่รักษาป่าเขตร้อนด้วยการให้เงิน ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวยังต้องรอพิจารณากันต่อไป แต่ก็มีกระแสตอบรับในเชิงบวกแล้ว







