“รีเวสเทค” สตาร์ทอัพรักษ์โลก ใช้โมเดล OEM พลิกขยะเป็นเม็ดพลาสติก

“รีเวสเทค” สตาร์ทอัพรักษ์โลก ใช้โมเดล OEM พลิกขยะเป็นเม็ดพลาสติก

พัฒนาวิธีนำขยะเกษตรและพลาสติกรีไซเคิลมาผสมโดยไม่ใช้สารเคมีซับซ้อน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้โมเดล OEM ร่วมกับโรงงานพันธมิตร มีระบบคัดแยก ล้าง บด และขึ้นรูปครบวงจร

KEY

POINTS

  • พัฒนาวิธีนำขยะเกษตรและพลาสติกรีไซเคิลมาผสมโดยไม่ใช้สารเคมีซับซ้อน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  • ใช้โมเดล OEM ร่วมกับโรงงานพันธมิตร มีระบบคัดแยก ล้าง บด และขึ้นรูปครบวงจร
  • สร้างรายได้และแรงจูงใจให้กับชุมชน ผ่านการรับซื้อขยะและอบรมพัฒนาทักษะให้ชาวบ้าน
  • วางแผนเปิดตัวแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตนเองในตลาด B2B และร่วมงานกับโรงแรมหลายแห่ง
  • ตลาดในประเทศเผชิญความท้าทายจากต้นทุนสูงและผู้บริโภคยังไม่พร้อมจ่ายเพิ่มเพื่อความยั่งยืน
  • เน้นย้ำความสำคัญของธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมว่าเป็นทางเลือกจำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนของโลกa

“ทำไมเราต้องใช้สารเคมีมากมาย ทั้งที่เราตั้งใจจะทำธุรกิจที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม?” คำถามเล็ก ๆ นี้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทิศทางและจุดประกายให้เกิด บริษัท รีเวสเทค จำกัด (ReWastec Co., Ltd.) บริษัทสตาร์ทอัพเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ก่อตั้งโดย วิศรุต ชาลี

แม้จะเพิ่งจดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการได้เพียง 3 ปี แต่แนวคิดของ ReWastec ถือกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงปี 2018–2019 ในขณะที่วิศรุตยังเป็นนักศึกษาวิศวกรรมพลาสติก จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ในช่วงเวลานั้น ปัญหามลพิษ PM 2.5 กำลังเป็นประเด็นที่สังคมไทยเริ่มตื่นตัว โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีการเผาตอซังข้าวและวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้เขาตั้งคำถามว่า จะทำอย่างไรให้ "ขยะ" ที่ไม่มีใครอยากได้เหล่านี้ กลายเป็นวัสดุที่มีมูลค่าและไม่สร้างผลกระทบซ้ำให้กับสิ่งแวดล้อม

“รีเวสเทค” สตาร์ทอัพรักษ์โลก ใช้โมเดล OEM พลิกขยะเป็นเม็ดพลาสติก

ทดลองผิดถูกเพื่อหาคำตอบ

จากการศึกษาค้นคว้า วิศรุตเริ่มทดลอง สกัดเซลลูโลสจากตอซังข้าว เพื่อนำไปผลิตเป็นไบโอพลาสติก แต่กระบวนการที่ต้องใช้เคมีหลายขั้นตอนทำให้เกิดคำถามสำคัญ เรากำลังสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น หรือแค่เปลี่ยนรูปแบบของมลพิษ?

วิศรุต ชาลี ประธานกรรมการบริษัท บริษัท รีเวสเทค จํากัด จึงเปลี่ยนแนวคิดใหม่ — แทนที่จะใช้สารเคมีเพื่อสกัดวัตถุดิบ เขาเริ่มหาทาง นำขยะจากการเกษตรมาผสมกับพลาสติกรีไซเคิลโดยตรง เพื่อปรับปรุงคุณภาพของเม็ดพลาสติกให้สามารถใช้งานได้จริง โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม

จากการทดลอง วิศรุตเริ่มต้นด้วยการใช้ขยะจากภาคการแพทย์ เช่น ขวดน้ำเกลือ และถุงล้างไต ผสมกับวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร และพบว่าคุณสมบัติของพลาสติกที่ได้มีความแข็งแรงและสามารถขึ้นรูปได้ดีขึ้นกว่าพลาสติกรีไซเคิลเพียงอย่างเดียว

ผลลัพธ์เหล่านี้ต่อยอดไปสู่การพัฒนาเป็น วัสดุไม้เทียม ที่สามารถนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น หวายเทียม กล่อง ของพรีเมียม หรือแม้แต่โครงการร่วมออกแบบกับโรงแรมและองค์กรระดับประเทศ

“รีเวสเทค” สตาร์ทอัพรักษ์โลก ใช้โมเดล OEM พลิกขยะเป็นเม็ดพลาสติก

ไอเดียจากห้องเรียน สู่เวที Startup

ในช่วงปี 2018–2019 กระแส Startup ในประเทศไทยกำลังมาแรง วิศรุตเองก็เป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่สนใจด้านธุรกิจอยู่แล้ว และชอบเข้าร่วมการแข่งขันด้านนวัตกรรมตั้งแต่ยังเรียนอยู่ โดยเฉพาะการต่อยอดงานวิจัยเชิงพาณิชย์ ซึ่งเขาเคยมีประสบการณ์จากการทำโครงงานร่วมกับ NTECH ตั้งแต่สมัยม.ปลาย

“โครงงานตอนนั้นเป็นลักษณะ From Research to Market ทำให้ได้พื้นฐานด้าน Business Model และการสื่อสารตลาดมาตั้งแต่ยังเรียนมัธยม เมื่อแนวคิดเรื่องการใช้ขยะเกษตรและพลาสติกรีไซเคิลเริ่มตกผลึก ผมจึงตัดสินใจส่งไอเดียเข้าร่วมแข่งขันในงาน Maker Faire ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน — เมืองหลวงแห่งนวัตกรรมของเอเชีย”

แม้โปรเจกต์ยังอยู่ในรูปแบบต้นแบบ มีเพียงตัวอย่างเล็กๆ จากขวดน้ำเกลือและตอซังข้าวที่ทดลองนำมาผสมกัน แต่ผลตอบรับในงานกลับเกินคาด

“คนที่จีนสนใจเยอะมากครับ จนบูธของเรากลายเป็นบูธที่มีคนเข้าเยี่ยมชมมากที่สุดในงาน และได้รับรางวัล “Booth Ribbon” ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับบูธที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในงาน”

นั่นคือจุดที่วิศรุตเริ่มเห็นว่า ไอเดียของเขาไม่ได้เป็นเพียงโครงงานวิจัยอีกต่อไป แต่มันมีศักยภาพที่จะกลายเป็น ธุรกิจจริงในตลาดที่ยังมีช่องว่างสูง โดยเฉพาะการนำวัสดุเหลือทิ้งจากเกษตรมาผสมกับขยะพลาสติกรีไซเคิลเพื่อสร้างวัสดุใหม่ที่ใช้งานได้จริง

“ในสายวิจัยอาจมีคนทำแนวนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพูดถึงการต่อยอดให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ยังไม่มีใครจับทางนี้อย่างจริงจัง ผมเลยมองว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจมาก”

แหล่งวัตถุดิบ ขยะกลายเป็นทรัพยากรใหม่

ReWastech ใช้ขยะเป็นวัตถุดิบหลัก โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่

  • ขยะพลาสติก: มาจากหลายแหล่ง เช่น โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัย, โรงงานอุตสาหกรรม และขยะทั่วไปในชุมชน
  • ขยะเกษตร: เช่น ฟางข้าว ซึ่งได้จากความร่วมมือกับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ บ้านเกิดของผู้ก่อตั้ง

“เราร่วมมือกับชุมชนในการคัดแยกขยะ แล้วนำกลับมารีไซเคิล เพื่อให้เกิดมูลค่าใหม่อย่างแท้จริง”

โมเดล OEM แต่คิดแบบยั่งยืน

แม้ปัจจุบัน ReWastec จะยังไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง แต่ได้เลือกใช้โมเดลการผลิตแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) ร่วมกับโรงงานพันธมิตร พร้อมทำข้อตกลงด้านความลับทางธุรกิจ (NDA) เพื่อคุ้มครองนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังมีทีมงานประจำที่ดูแลการดำเนินงานในแต่ละด้านอย่างมีระบบ

ในระบบการแปรรูปนี้ ReWastec ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์หลายเจ้าในแต่ละขั้นตอน เช่น ล้างขยะพลาสติก บดพลาสติกและวัสดุเกษตร ผสมด้วยเครื่อง Extrusion ตัดเม็ดพลาสติก

สิ่งที่ทำให้ ReWastec แตกต่าง คือแนวคิดในการสร้าง “แรงจูงใจ” และ “รายได้เสริม” ให้กับชุมชนผู้มีส่วนร่วม

  • บริษัท “ซื้อ” ขยะจากชุมชน ไม่ใช่การรับฟรี
  • เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต เช่น การออกแบบและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์
  • มีการส่งดีไซเนอร์เข้าไปอบรมชาวบ้าน เพื่อพัฒนาทักษะและสร้างคุณค่าร่วมกัน

“แนวคิดของเราคือ ทุก Stakeholder ต้องได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่บริษัท เราอยากให้ชุมชนเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของเรา ส่วนใหญ่เราไม่จำเป็นต้องให้โรงงานลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ เพราะเครื่องเดิมรองรับได้อยู่แล้ว ยกเว้นบางกรณี เช่น การผลิตหวายเทียมที่อาจต้องใช้เครื่องเฉพาะ เราก็จะหาพาร์ทเนอร์อื่นมาช่วยต่อ”

จากขยะสู่ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้

ในปัจจุบัน ReWastec มีผลิตภัณฑ์หลักคือ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลผสมวัสดุธรรมชาติ หวายเทียม ที่สามารถใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ได้ และเร็วๆ นี้ จะเปิดตัว แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ของตัวเอง ภายใน 1–2 เดือนข้างหน้า

“เรากำลังพัฒนาโมเดลธุรกิจอย่างจริงจัง ทั้งด้านการออกแบบ การผลิต และการตลาด เพื่อเตรียมเปิดตัวแบรนด์ของเราเองในตลาด B2B และโครงการร่วมกับโรงแรมหลายแห่งที่กำลังอยู่ในขั้นเจรจา”

โอกาสและความท้าทาย

แม้ ReWastec จะมีเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจที่น่าจับตา แต่เส้นทางการผลักดันผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดยังต้องเจอกับความท้าทายไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่การบริโภคสินค้ายั่งยืนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

ความท้าทายในตลาดประเทศไทย

  • ราคาที่ยังสูงกว่าตลาดทั่วไป เม็ดพลาสติกรีไซเคิลผสมวัสดุธรรมชาติของ ReWastec ยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าเม็ดพลาสติกทั่วไป ทำให้ ต้องพึ่งพาตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market) ที่เห็นคุณค่าของความยั่งยืน
  • ผู้บริโภคยังไม่พร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืน แม้คนรุ่นใหม่จะเริ่มให้ความสนใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ในทางพฤติกรรมการซื้อ คนไทยจำนวนมากยังไม่พร้อมจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • กฎหมายยังไม่บังคับใช้จริงจัง แม้รัฐจะเริ่มพูดถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น เรื่องการจัดการพลาสติกชีวภาพหรือพลาสติกรีไซเคิล แต่กฎหมายที่บังคับใช้จริงยังไม่ชัดเจน ส่งผลให้แรงผลักดันจากฝั่งภาคธุรกิจยังไม่มากพอ

โอกาสใหม่จาก “ตลาดต่างประเทศ” ที่กำลังตื่นตัว

ในขณะที่ตลาดในประเทศยังต้องใช้เวลาในการเติบโต ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะใน ญี่ปุ่น และ สหภาพยุโรป (EU) กลับแสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์ของ ReWastec อย่างชัดเจน

กลุ่มเป้าหมายที่ตอบรับดี ได้แก่

  • แบรนด์สินค้ารักษ์โลก (Eco-conscious brands)
  • บริษัทที่มีพันธกิจด้าน ESG/CSR
  • องค์กรที่ต้องรายงาน Carbon Footprint หรือ Scope 3

องค์กรเหล่านี้ “ยอมจ่ายแพงขึ้น” หากผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ เช่น มีที่มาโปร่งใส (Traceability) ลดคาร์บอนในการผลิต มีระบบติดตามผลและรายงานข้อมูลที่ชัดเจน (Data-driven sustainability)

“การที่เราทำเม็ดพลาสติกจากวัสดุเหลือใช้ ไม่เพียงแค่ช่วยลดขยะ แต่ยังสามารถติดตามที่มาของวัสดุ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเรามีแพลตฟอร์มเก็บข้อมูลเพื่อช่วยให้ลูกค้ารายงานผลด้านความยั่งยืนได้ด้วย”

ธุรกิจขยะที่ไม่ได้ "เล็ก" อีกต่อไป

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท ReWastec ได้แปรรูปขยะพลาสติกไปแล้วมากกว่า 100,000 กิโลกรัม โดยขยะเหล่านี้ผ่านกระบวนการอย่างครบวงจร ทั้งการคัดแยก ล้าง บด และขึ้นรูปใหม่ กลายเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุสำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นับเป็นการสร้างคุณค่าใหม่จากสิ่งที่เคยถูกมองว่าไร้ค่า พร้อมลดปริมาณขยะสะสมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ธุรกิจของ ReWastec เติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง เพราะองค์กรต่าง ๆ เริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG และ Circular Economy มากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทเองยังมีจุดแข็งในด้านการให้บริการแบบครบวงจร (One-stop service) ตั้งแต่การรับขยะ ออกแบบผลิตภัณฑ์ พัฒนาแบรนด์ ไปจนถึงการผลิตสินค้าสำเร็จรูป ทำให้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการโซลูชันด้านความยั่งยืนได้อย่างครอบคลุม

คนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มทำธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม

วิศรุต กล่าวในตอนท้ายว่า ทุกวันนี้เราเจอผลกระทบของสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ฝนตกไม่ตรงฤดู หน้าหนาวที่ไม่มีความหนาว อากาศร้อนจัดกว่าที่เคย หรือแม้แต่ภาพเต่าทะเลที่กินขยะพลาสติก… มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

แต่ปัญหาคือ แม้เราจะเห็นปัญหา แต่หลายคนกลับยังรู้สึกว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องของฉัน’ หรือ ‘ฉันทำไปก็ไม่มีผล’ ซึ่งมันไม่จริงเลยครับ

ถ้าคนรุ่นใหม่เริ่มต้นวันนี้ เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ตัวเองถนัด เช่น ทำธุรกิจที่ช่วยลดขยะ หรือสร้างระบบที่ช่วยให้คนจัดการทรัพยากรได้ดีขึ้น มันอาจยังไม่เปลี่ยนโลกทันที แต่มัน สร้างแรงกระเพื่อม ที่จะสะสมไปเรื่อยๆ จนมันกลายเป็นแรงเปลี่ยนแปลงจริง ๆ

ธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอาจจะไม่ใช่ทางลัด ไม่ใช่ทางเร็ว แต่มันคือทางจำเป็น ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ คนรุ่นลูก รุ่นหลานของเราจะไม่มีอะไรเหลือให้ใช้ ไม่มีอากาศดี ไม่มีทะเลที่สะอาด ไม่มีฤดูที่แน่นอน

เราอาจอยู่ได้อีก 30-50 ปี แต่โลกต้องอยู่ให้ได้อีกเป็นพันปี ธุรกิจของเราไม่ควรแค่ ‘ทำกำไร’ แต่ควร สร้างอนาคต ไปด้วย