ผลิตภาพสีเขียว กับ การจัดการพลังงาน ได้อย่างก็เสียอย่าง

ผลิตภาพ (Productivity) กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ได้อย่างก็เสียอย่างเหมือนตาชั่ง 2 ข้างหรือเปล่าครับ? จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการดูแลโลกเพื่อความยั่งยืน
ทำให้แนวคิดสีเขียว (Green) ถูกควบรวมเข้ากับหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือ Green Productivity
แนวคิดคือ การยกระดับผลิตภาพ และ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ควบคู่กัน องค์กรสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและผลกำไร ไปพร้อมๆ กับการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
แนวคิด GP
เดิมทีนั้น การดูแลสิ่งแวดล้อมในมุมของอุตสาหกรรมคือ ทำเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมาย มองที่ปลายทาง เมื่อของเสียหรือผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว หาทางจัดการให้ค่าควบคุมต่างๆ ผ่านข้อบังคับที่กำหนด
เมื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมถูกมองเป็นเรื่องของ “ต้นทุน” จึงทำเท่าที่จำเป็น ยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งดีเพื่อประหยัดต้นทุน เช่น การกำจัดวัตถุดิบที่ไหลออกจากกระบวนการ ระบบบำบัดน้ำเสีย การจัดการฝุ่น รวมถึงมลพิษต่างๆ ที่เกิดขึ้น
องค์การเพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย (APO-Asian Productivity Organization) ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศที่กรุงโตเกียว ได้ริเริ่มเผยแพร่แนวคิด GP-Green Productivity ตั้งแต่ยุคทศวรรษ 90 เพื่อสนับสนุน ทิศทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แนวคิด GP สามารถนำไปประยุกต์ใน 2 เรื่องคือ Product (ผลิตภัณฑ์) และ Process (กระบวนการ)
ในกรณี Eco-Product ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก มุ่งเน้นใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า รักษาสิ่งแวดล้อม นำกลับมาใช้ซ้ำ Recycle หรือ คืนสภาพได้ รวมถึงการแสดงรอยเท้าคาร์บอน (Carbon Footprint) สื่อสารกับผู้บริโภค
GP ในกระบวนการมาจากแนวคิดพื้นฐานผลิตภาพ คือการแปรรูป Input อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้าง Output ที่มีคุณค่าให้กับลูกค้า อย่างไรก็ตาม ในโลกความจริง ทรัพยากรที่ใส่เข้าไปในกระบวนการ ไม่ได้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ทั้ง 100% มีของเสียเกิดขึ้นเสมอ การกำจัดบำบัดของเสียเป็นการจัดการที่ปลายเหตุ
หากเราจัดการที่ต้นเหตุแทน มีกระบวนการที่ดีขึ้น ทำให้ทรัพยากรแปรสภาพไปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง องค์กรจะได้ Output ที่มีคุณค่ามากขึ้น, ต้นทุนการจัดการของเสียลดลง, Productivity สูงขึ้น, ผลกระทบสิ่งแวดล้อมลดลงไปพร้อมกัน
ตัวอย่างการปฏิบัติ กรณีการแปรรูปวัตถุดิบคือ หลักการของ Material Balance
องค์กรต้องจัดการข้อมูล ให้รู้ว่า Input ที่ใส่เข้าไป 100 หน่วยนั้น กลายไปเป็นผลิตภัณฑ์จริงๆ จำนวนเท่าใด ไหลออกไปเท่าใด หากวัดเป็นเงินได้ก็ยิ่งดี ทำให้สร้างความตระหนักได้ดีขึ้น และกำหนดเป้าหมายปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น
การไหลออกนี้เกิดขึ้นได้ทั้ง “ในกระบวนการ” เช่น วัตถุดิบไหลออกไปพร้อมกับการชะล้างระหว่างกระบวนการ และ “หลังกระบวนการ” เมื่อของไม่ได้คุณภาพ ทำให้ต้องมีกระบวนการตรวจสอบ คัดแยก กำจัดเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
สิ่งไม่ต้องการต้องกำจัด อาจกลายเป็นทรัพยากรมีคุณค่าให้อีกอุตสาหกรรมหนึ่ง เช่น กากอินทรีย์ในอุตสาหกรรมเกษตร กลายเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตพลังงานจากก๊าซชีวภาพ สอดคล้องกับแนวทาง BCG (Bio, Circular, Green Economy) ที่ภาครัฐส่งเสริม
พลังงาน และ การลดคาร์บอน
ทรัพยากรหนึ่งที่สำคัญอย่างมากในปัจจุบันคือ พลังงาน เพราะทิศทางโลกร่วมกันมุ่งเข้าสู่ สังคมคาร์บอนเพิ่มเป็นศูนย์ ในอนาคต
คาดว่า พ.ร.บ.การลดก๊าซเรือนกระจก จะประกาศบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ เพื่อเป็นกลไกกฎหมาย ให้การลดคาร์บอนเป็นไปตามเป้าหมาย
แนวคิดคือ ผู้สร้างคาร์บอนต้องรับผิดชอบจ่ายภาษีชดเชยให้กับผลกระทบ ดังนั้น องค์กรจะเผชิญแรงกดดันจาก กฎหมาย, ลูกค้า, คู่ค้าในห่วงโซ่ธุรกิจ ที่มีนโยบายลดคาร์บอนด้วย
เมื่อพิจารณาด้วยแนวทาง GP แล้ว ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทำให้ Productivity สูงขึ้น ลดต้นทุนพลังงาน พร้อมๆ ไปกับการลดคาร์บอน
ผมได้เห็นการนำเสนอของกระทรวงพลังงาน อธิบายถึงประสิทธิภาพของไทยเราว่า ดีขึ้น 10.54% ในรอบ 13 ปี ตั้งแต่ปีฐาน 2553 ถึง 2566 แต่ยังห่างกับเป้าหมายที่ต้องการให้ ดีขึ้น 30% ภายในปี 2580 นั่นหมายถึงทุกภาคส่วนต้องทำงานหนักมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ตัวชี้วัดคือ ประเทศใช้พลังงานเท่าใดเพื่อสร้าง GDP 1,000 ล้านบาท เนื่องจากแหล่งพลังงานมีความหลากหลาย จึงแปลงแหล่งพลังงานทั้งหมดให้กลายเป็นเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยมีหน่วยเป็น ktoe (kilotonne of oil equivalent - พันตันน้ำมันดิบเทียบเท่า)
ตัวเลขในปี 2553 คือ ใช้พลังงาน 8.54 ktoe เมื่อถึงปี 2566 ที่ GDP เดียวกัน ใช้พลังงานลดลงเหลือ 7.64 ktoe แนวคิดตัวชึ้วัดเช่นนี้ นำไปใช้กับองค์กรธุรกิจได้เช่นเดียวกัน
ข้อสังเกตของตัวชี้วัดคือ วัด Output ด้วย มูลค่า (Value) GDP ประเทศ ในขณะที่วัด Input ทาง กายภาพ (Physical) ด้วยปริมาณทรัพยากร แนวคิด Output/Input ของ Productivity พลิกแพลงสร้างตัวชี้วัดได้หลายรูปแบบ
จุดเริ่มต้นที่ควรทำทันทีคือ การเก็บข้อมูล เพื่อให้ทราบถึงปริมาณการใช้พลังงาน และ ปริมาณคาร์บอนที่สร้างขึ้นในปัจจุบัน เพื่อเป็นฐานตั้งต้นเทียบเคียง (Benchmark) และกำหนดเป้าหมายการปรับปรุง
ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ราคาถูกลง เราเห็น Green/Smart Building กับการจัดการพลังงานที่ชาญฉลาด วิเคราะห์ข้อมูลจริงขณะนั้น โดย Sensor IOT เช่น จำนวนคน อุณหภูมิภายนอก ความชื้น เพื่อควบคุมพลังงานเครื่องปรับอากาศ และ การใช้ไฟฟ้าอื่นให้คุ้มค่าที่สุด
การปรับปรุงกระบวนการตามแนวทาง GP เป็นการทำให้องค์กรผอมเพรียวหรือ Lean ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น จากนั้นต่อไปทำให้ Clean ด้วยแหล่งพลังงานที่สะอาด สร้างคาร์บอนน้อยลง
GP และ การลดโลกร้อน เชื่อมโยงไป Green Financing ของสถาบันการเงินด้วย เช่น สินเชื่อ SME Green Productivity ที่สนับสนุนองค์กรที่ทำธุรกิจสีเขียว ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ
การเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมยังส่งผลต่อ ความผูกพันของพนักงาน เพราะพนักงานตระหนักได้ว่าตนเองกำลังทุ่มเท ความสามารถและเวลา ให้กับองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมครับ







