‘ผักโขม-ข้าวสาลี’ พืชอาหารที่ควรปลูก หากเกิด ‘สงครามนิวเคลียร์’

‘ผักโขม-ข้าวสาลี’ พืชอาหารที่ควรปลูก หากเกิด ‘สงครามนิวเคลียร์’

ผักโขมและข้าวสาลี พืชอาหารสำคัญ สำหรับวันสิ้นโลก เนื่องจากปลูกง่าย ใช้ที่น้อย สารอาหารเยอะ ช่วยประทังชีวิตประชากรทั่วโลกให้อยู่รอด

KEY

POINTS

  • วิจัยผักโขม ชูการ์บีท และข้าวสาลี เป็นพืชที่สามารถเติบโตจนใช้เลี้ยงผู้คนในโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ได้ 
  • โดยผักโขมและหัวชูการ์บีตเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะปลูกในเมือง
  • ส่วนในพื้นที่ชานเมืองควรปลูกข้าวสาลีและแครอทผสมกัน ในอัตราส่วน 97:3

ในสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่มีใครรู้ว่าผู้นำโลกจะกด “นิวเคลียร์” เมื่อไหร่ และหากเกิด “สงครามนิวเคลียร์” ขึ้นจริงจะทำให้ผู้คนนับล้านอาจต้องอดอาหารตาย แต่ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้คำนวณแล้วว่าพืชผลใดที่สามารถอยู่รอดได้แม้แต่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย

จากการวิจัยของแมตต์ บอยด์ จาก Adapt Research Ltd และนิค วิลสัน จากมหาวิทยาลัยโอทาโก พบว่าผักโขม ชูการ์บีท และข้าวสาลี เป็นพืชที่สามารถเติบโตจนใช้เลี้ยงผู้คนในโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ได้ 

นักวิทยาศาสตร์ใช้ผลการวิจัยก่อนหน้านี้ เพื่อพิจารณาว่าพืชผลชนิดใดเหมาะที่สุดที่จะปลูกหลังจากเกิดภัยพิบัติระดับโลก เช่น สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดร้ายแรง หรือพายุสุริยะ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อค้นหาวิธีที่ช่วยให้ประชากรโลกมีอาหารกินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้พื้นที่น้อยที่สุด

ภัยพิบัติระดับโลกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เช่น สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดร้ายแรง หรือพายุสุริยะ ส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างรุนแรง รวมถึงเกิดการขาดแคลนทรัพยากร เช่น เชื้อเพลิงเหลว จนไม่สามารถผลิตและการขนส่งอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะอดอยากได้

เพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น นักวิจัยคำนวณการประมาณศักยภาพของการทำเกษตรในเมืองและใกล้เมือง เพื่อตอบสนองความต้องการหลังเกิดหายนะ โดยใช้เมืองพาลเมอร์สตันนอร์ท ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นตัวแทนของเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากเป็นเมืองขนาดกลางที่มีภูมิอากาศอบอุ่น

“เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งเหมือนกับเมืองอื่น ๆ ทั่วโลก และมีที่อยู่อาศัยแบบชานเมืองที่มีความหนาแน่นค่อนข้างต่ำ ไม่ใช่ตึกระฟ้าสไตล์แมนฮัตตันหรืออะไรทำนองนั้น” บอยด์กล่าว

นักวิจัยประเมินโดยใช้การวิเคราะห์ภาพจาก Google Earth เพื่อคำนวณพื้นที่สีเขียวทั้งหมดที่มีอยู่ซึ่งสามารถใช้ปลูกพืชผลได้ เช่น สนามหญ้าหน้าบ้าน สนามหลังบ้าน และสวนสาธารณะ

พบว่าผลผลิตจากการทำเกษตรในเมืองเพียงอย่างเดียวสามารถเลี้ยงประชากรได้เพียงประมาณหนึ่งในห้าของประชากรเมืองพาลเมอร์สตันนอร์ทเท่านั้น แต่ถ้าหากมีการทำเกษตรในพื้นที่ใกล้เมืองเพิ่มเติมอย่างน้อย 7,125 ไร่ อาจรับประกันความมั่นคงทางอาหารสำหรับทั้งเมืองได้ 

งานวิจัยยังพบว่า หากเมืองจัดสรรพื้นที่ประมาณ 687.5 ไร่ สำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอาจเพียงพอกับใช้สำหรับเครื่องจักรทางการเกษตรของเมือง

“นหากปลูกอาหารได้เฉพาะภายในเขตเมือง พื้นที่ที่มีอยู่สามารถเลี้ยงประชากรได้ประมาณ 20% ด้วยพืชผลที่ให้โปรตีนและพลังงานอาหารสูงสุดต่อตารางฟุตภายใต้สภาพอากาศปรกติ ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงเหลือประมาณ 16% ในช่วงฤดูหนาวนิวเคลียร์” บอยด์กล่าว

พืชที่เหมาะที่สุดสำหรับการปลูกในเมืองที่มีอากาศอบอุ่นภายใต้สภาพอากาศปรกติคือ “พืชตระกูลถั่ว” เนื่องจากถั่วเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง เติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมทางการเกษตรในเมือง ใช้พื้นที่ไม่มาก 

นักวิจัยใช้ข้อมูลจากการวิจัยเกษตรในเมืองที่วิเคราะห์ผลผลิตของพืชผลต่าง ๆ ในเมืองต่าง ๆ กว่าสิบเมืองทั่วโลก พบว่า ถั่วลันเตาได้รับความนิยมสูงสุดในสภาวะปรกติ เนื่องจากใช้พื้นที่เพียง 292 ตารางเมตร สำหรับปลูกถั่วลันเตาในปริมาณที่ให้แคลอรีและโปรตีนเพียงพอสำหรับเลี้ยงคนหนึ่งคนเป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งน้อยกว่ากะหล่ำปลีและแครอทร่วมกันต้องใช้พื้นที่ 777 ตารางเมตรถึงจะเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม หากเกิดสภาวะอากาศที่ทำให้โลกหนาวเย็นอย่างรุนแรงหลังจากเกิดสงครามนิวเคลียร์ ที่เรียกว่า “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” รวมไปถึงการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ หรือการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยครั้งใหญ่ จะทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลง ชั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยเขม่าควันและสารต่าง ๆ ทำให้พืชสังเคราะห์แสงได้ยากขึ้น ถั่วจึงไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นี้

นักวิจัยพบว่าผักโขมและหัวชูการ์บีตเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสถานการณ์ดังกล่าวมากกว่า เนื่องจากสามารถทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า ส่วนในพื้นที่ชานเมืองควรปลูกข้าวสาลีและแครอทผสมกัน ในอัตราส่วนข้าวสาลี 97% และแครอท 3%

โชคดีที่ผลการศึกษาไม่ได้หมายความว่าในอนาคตมนุษย์จะได้กินแค่พืชไม่กี่ชนิดนี้เท่านั้น แต่การศึกษานี้แค่เสนอทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเลี้ยงคนจำนวนมากที่สุด โดยใช้พื้นที่น้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

“ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจปลูกพืชหลายชนิดผสมกัน แต่เมื่อพิจารณาว่าจะปลูกอะไรใกล้เมือง ควรพิจารณาพืชที่มีโปรตีนสูงและพลังงานอาหารสูงต่อพื้นที่ดิน” บอยด์กล่าว

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อผลผลิตพืชผล โดยเฉพาะคุณภาพของดินและน้ำเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อจำนวนผลผลิต อีกทั้งยังมีสถานการณ์ที่คาดเดาไม่จากภัยพิบัติธรรมชาติด้วยเช่นกัน

บอยด์กล่าวเสริมว่า “ในช่วงที่เกิดภัยพิบัติระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อการค้า การนำเข้าเชื้อเพลิงอาจหยุดชะงัก ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตอาหารในภาคอุตสาหกรรมและระบบขนส่ง เพื่อความอยู่รอด ประชากรจะต้องปรับเปลี่ยนการผลิตอาหารในเมืองและบริเวณโดยรอบอย่างมาก”

ประชากรจะมีอาหารเพียงพอสำหรับบริโภคในโลกหลังวันสิ้นโลกหรือไม่ ขึ้นอยู่การบูรณาการการผลิตอาหารในเขตเมือง การปกป้องและจัดเตรียมที่ดิน  การสร้างโครงสร้างพื้นฐานการแปรรูปอาหารในท้องถิ่น การรับประกันความพร้อมของเมล็ดพันธุ์ รวมถึงต้องการบูรณาการอาหารเข้าในกรอบนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ


ที่มา: Live SciencePhysScience Focus