'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

"ก.ล.ต." เปิด 3 ใบอนุญาตหนุนโทเคนดิจิทัล “อบก.” ชี้ T-VER มาตรฐานสากลสู่ Net Zero “แม่ฟ้าหลวง” ชี้ คาร์บอนเครดิตป่าไม้ไทยเจอโจทย์หิน ชวนปลดล็อกกฎหมายหนุนชุมชนอยู่กับป่าอย่างยั่งยืน “กสิกร” ดันตลาดคาร์บอนเครดิตสู่ยุคดิจิทัล “กลไกโปร่งใส”

ธนาคารกสิกรไทย จัดงาน "EARTH JUMP 2025: Transition thru Turbulence" รวมพลังผู้นำระดับโลกและประเทศเจาะลึกวิสัยทัศน์และแนวทางเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์จากธนาคารกสิกรไทย และเวทีถอดบทเรียนธุรกิจและนวัตกรรมจาก ThaiCBN (Thailand Climate Business Network)

สำหรับเวทีสัมมนาหัวข้อ “How Carbon Credit Market Can Play A Pivotal Role to Climate Actions ตลาดดคาร์บอนเครดิตชิ้นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ” โดย น.ส.จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) กล่าวว่า ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะช่วยภาคธุรกิจขับเคลื่อนองค์กรมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ กลต. อยากให้ตลาดนี้เติบโตและขยายไปสู่มุมกว้าง โดยพยายามใช้ทุกองคาพยพที่มีอยู่ เพื่อออกใบอนุญาตแบ่งเป็น 3 ประเภทเพื่อให้ดีมานด์และซัพพลายเกิดขึ้น คือ

'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

1. สัญญาซื้อขายปัจจุบัน (ตลาดสปอร์ต) จะมีพ.ร.บ.ซื้อขายให้บริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาขอใบจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งต้องดูกลไกตลาดและหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อช่วยผู้ประกอบธุรกิจในการบริหารความเสี่ยง เพิ่มคาร์บอนเครดิตเป็นสินค้าอ้างอิงและตัวแปรอ้างอิงในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมถึงออกใบรับรองซื้อขายพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น และ 3. ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้สิทธิในการแลกคาร์บอนเครดิต เช่น เมื่อมีคาร์บอนเครดิตขึ้นทะเบียนกับ อบก. ก็สามารถมาออกโทเคนเป็นเหรียญเพื่อซื้อขายผ่านบล็อกเชน เป็นต้น

“กลต.จะส่งเสริมและอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจมาให้บริการลูกค้าได้ จึงจะเห็นการซื้อขายในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เพื่อสร้างตลาดซื้อขายได้ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนโทเคนโดยให้สิทธิในการร่วมลงทุนและได้รับผลตอบแทน เช่น ธุรกิจอยากลงทุนปลูกป่าและขายคาร์บอนในลักษณะโทเคนหรือถอนไปชดเชยคาร์บอนได้ จะเป็นกรีนโทเคนที่ถูกยกเว้นค่าทำเนียมใบอนุญาตด้วย”

ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า การพัฒนาคาร์บอนเครดิตจากภาคป่าไม้ ซึ่งเรามีโครงการจากมหาวิทยาลัยและป่าชุมชนที่ช่วยผู้ต้องการคาร์บอนเครดิต ซึ่งตลาดในปัจจุบันอิงเศรษฐกิจที่เป็นปัจจัยใหญ่ช่วยกำหนดว่าตลาดดีหรือไม่ดี ซึ่งท่าทีของนโยบายสหรัฐฯ ที่ถอยหลังในประเด็น SDG ได้ส่งผลกระทบทั่วโลก สะท้อนบริษัทไทยที่ยังลังเลการลงทุนนโยบายสีเขียวไปบ้าง

ทั้งนี้ หากเปลี่ยนพื้นที่พืชเชิงเดี่ยวเป็นพืชระยะยาวได้ ถือเป็นที่มาของพืชหมุนเวียนโดยหากใช้กาแฟจะได้พื้นที่รณรงค์กลับมาปลูกป่าแล้วหนุนให้คาร์บอนเครดิตเกิดเป็นรายได้เสริม ปลดล็อกการพื้นฟูสภาพป่าอย่างยั่งยืน ดังนั้น ภาคการเงินที่ปล่อยกู้เงินมาให้ชุมชนแล้วมีตลาดจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชุมชนได้และธนาคารจะไม่มีความเสี่ยง และใช้ความรู้ในการพัฒนาชุมชน มีตลาดรองรับ อีกทั้งยังขายได้ราคาพรีเมียม กระบวนการเหล่านี้จะต้องเข้ามาคุยทั้งบทบาทของธนาคาร แม่ฟ้าหลวงและภาพรัฐเพื่อบูรณาการร่วมกัน
'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

“เราจะต้องปลดล็อกทั้งกฎระเบียบให้ภาคป่าไม้ เพื่อให้สิทธิในการใช้พื้นที่ป่าต้องชัดเจนไม่เอาเปรียบชุมชนไม่ให้นายทุนในรูปแบบชุมชนมาเอาเปรียบ จึงต้องให้ความรู้เปลี่ยนทัศนคติว่าคาร์บอนเครดิตไม่ใช่การฟอกเขียว ต้องทบทวนว่าจะให้เป็นเครดิตที่เซ็กซี่โดยปลดล็อกตลาด และสุดท้ายเปิดความเข้าใจของทุกภาคส่วนว่ามีความจำเป็นอย่างไรที่ทุกคนพยายามขับเคลื่อนเพราะอุณหภูมิจะไม่มีการหยุดง่ายๆ เพราะเราล้วนเป็นคนทำให้เกิดอุณหภูมิที่สูงขึ้น”

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เมื่อเวทีโลกมีข้อตกลงและกำหนดเป้าหมาย Net Zero กสิกรปล่อยคาร์บอนปริมาณ 7 หมื่นกว่าตันคาร์บอน แต่เมื่อรวมกับลูกค้าจึงเกิดปริมาณสูงอีกกว่า 40 ล้านตันคาร์บอน ธนาคารจึงต้องช่วยลูกค้าในการลดการปล่อยคาร์บอน ดังนั้น กลไกที่เกิดขึ้นระหว่างทาง เช่น มาตการ CBAM ที่คล้ายกับการเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้โลกเปลี่ยนไปโดยธุรกิจ ธนาคารจะต้องเป็นตัวกลางเพื่อบาลานซ์กลุ่มที่ปล่อยคาร์บอนสูงกับน้อยให้มาเจอกัน จึงต้องทำตลาดให้โปร่งใสในราคาอ้างอิงได้

การปรับเปลี่ยน emission decarbonization ธนาคารจะเอามาตัดสินใจปล่อยสินเชื่อได้ ดังนั้น ตลาดกลางจะนำไปสู่การทำจริง เพื่อให้ราคาอ้างอิงและเชื่อถือได้ เมื่อมีราคากลางจะเพิ่ม Incentive ซึ่งคาร์บอนเครดิตจึงเป็นกลไกตลาดนำไปสู่เรียลเซ็คเตอร์

'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

ดังนั้น ความท้าทายที่เป็นโจทย์สำคัญของไทย ซึ่งบทบาทที่กสิกรมี 3 อย่าง คือ 1. ร่วมสร้างตลาด ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจนั้น กสิกรเข้าไปเป็นผู้ซื้อในตลาดถึง 70% เพื่อให้ตลาดมีการเติบโตทำให้ 4 ปีแรกซัพพลายเริ่มมี และจะนำไปสู่การเกิดสินทรัพย์ดิจิทัลได้ บริษัทฯ ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงบทบาทที่จะทำว่าทำได้แค่ไหน

2. โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กสิกรได้ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมร่วมภาคตลาดทุน เป็นต้น และ 3. ต่อยอดนวัตกรรม ถือเป็นจุดสำคัญ ซึ่งจากการร่วมซื้อขายคาร์บอนนั้น ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ เพราะด้วยความเป็นสถาบันทั้งคู่จึงเชื่อใจกัน แต่เมื่อเกิดเยอะขึ้นผู้ซื้อขายยังไม่รู้จักกันอาจไม่เกิดความเชื่อใจ เป็นต้น จึงน้องสร้างให้เกิดฟิวเจอร์หลัก เช่น บล็อกเชนเพื่อให้เงินกับของมาพร้อมกัน สามารถสร้างยูสเคสเพิ่มราคามีประสิทธิภาพขึ้น และอาจซื้อสะสมได้

“หากจะซื้อขายผ่านโทเคนไนเซชั่น จะสามารถเข้าถึงง่ายเอาไปใช้ได้จริง ทั้งจำนวนคนและเหรียญใช้จริงมีความโปรงใสเข้าถึงได้จริงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้เข้าถึงความโปรงใส่ ระหว่างทาง จึงต้องให้ความรู้ เติมเครื่องมือวัดคาร์บอนให้ภาคอุตสาหกรรมทราบว่าขาดหรือเกินเท่าไหร่ เพื่อนำไปสู่การสร้างตลาดคาร์บอนได้ เพื่อซัพพลายตลาดในราคาที่ดีและเติบโตอย่างยั่งยืนและรุ่งเรือง”

ดร.ณัฐริกา วายุภาพ นิติพน รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวว่า ประเทศไทยมีกลไกที่ผ่านการรับรองโดย T-VER ส่วนในระดับสากลก็มีผู้รับรองเพื่อให้เกิดการรับรองการลดคาร์บอนได้ ส่วนการรับรองการซื้อขายจะต้องได้มาตรฐานที่ต้องได้รับความน่าเชื่อถือ ดังนั้น เพื่อให้เห็นภาพ หลักคิดจะต้องดูเชิงหลักการณ์ก่อน โดยแบ่งเป็นภายใต้หลักสากล คือ 1. นโยบายที่ถูกต้องในการติดตามการลดคาร์บอน ประเมิณความโปร่งใส คำนวนการลดก๊าซที่เข้มแข็ง และมีหน่วยงานตรวจสอบ

'รัฐ-เอกชน' ลุยเป้า Net Zero ดันคาร์บอนดิจิทัลสร้างความโปร่งใส

2. ก่อให้เกิดการลดคาร์บอนได้จริง และส่วนที่เพิ่มเติมจากปกติที่ต้องพยายามเพิ่มสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้น ในเชิงหลักการณ์นั้นยังมีคำถามว่าการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต T - VER ของประเทศไทยไม่ต่างกับระดับสากล โดยเมื่อนับคาร์บอนเครดิตจะต้องรู้ว่ามีการปล่อยปริมาณเท่าไหร่ โดยวิธีการวัดต้องลดจากเส้นที่ปล่อยมาเหมือนกับต่างประเทศ พร้อมตรวจสอบและทวนสอบสอดคล้องกับหลักการแนวทางพัฒนา รวมถึงมีแบบประเมิณเช่นเดียวกัน

“จริงๆ แล้วคาร์บอนเครดิตไม่ได้เกิดที่ไทยอย่างเดียว ซึ่งในโลกมีหลายประเทศที่ดำเนินการ ถ้าเป็นกลไกคาร์บอนเครดิตที่ประเทศรับรอบจะเหมือนพหุภาคีถือเป็น UN ซึ่งไทยแลนด์อยู่ใน T - VER”

สำหรับความท้าทายในแต่ละภาคส่วนการขับเคลื่อนตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจในประเทศไทย มีการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว ปัจจุบันขึ้นทะเบียนแล้ว 509 โครงการ รับรองรวม 22 ล้านตัน ถือเป็นปริมาณที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนจริง และนำไปใช้ซื้อขายผ่านโครงการจริง อย่างไรก็ตาม จากร่าง พ.ร.บ. ลดโลกร้อนที่จะเกิดขึ้น อาจจะมีการบังคับให้มีการจดทะเบียนบริษัทหรือนิติบุคคล โดยผู้ที่ปล่อยก๊าซฯ ปริมาณสูงอาจจะต้องทำแผนการลดคาร์บอนผสมกับการซื้อคาร์บอน เป็นต้น

“อยากให้เห็นภาพว่าคาร์บอนเครดิตเป็นกลไกแต่ไม่เป็นกลไกเดียวเพื่อไปสู่เป้า Net Zero จึงต้องไปพร้อมกันเป็นองคาพยพ ดังนั้น ต้องมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตั้งมั่นในการดำเนินงาน คิดถึงความเป็นอยู่ระยะยาวของเราและลูกหลาน มันไม่ใช่ทางเลือกแต่มันคือทางรอด การเดินหน้าต่อไปต้องเห็นสิ่งนี้ร่วมกันทั้งโลก”