'กสิกร' ผนึกผู้นำโลกดันเป้า Net Zero 'กรมลดโลกร้อน' จี้ธุรกิจไทยเร่งปรับตัว

กสิกรไทยจับมือผู้นำโลก แก้ปัญหาโลกร้อน สู้นโยบาย "ทรัมป์ 2.0" ไม่สนโลก ไทยเร่งเครื่องลดคาร์บอน สวนกระแส "กรมลดโลกร้อน" ชู พ.ร.บ.สภาพภูมิอากาศ พร้อมใช้งานกลางปีหน้า
ธนาคารกสิกรไทย จัดงาน "EARTH JUMP 2025: Transition thru Turbulence" รวมพลังผู้นำระดับโลกและประเทศเจาะลึกวิสัยทัศน์และแนวทางเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์จากธนาคารกสิกรไทย และเวทีถอดบทเรียนธุรกิจและนวัตกรรมจาก ThaiCBN (Thailand Climate Business Network)
สำหรับหัวข้อ New Climate World Order ระเบียบโลกใหม่ กฎใหม่ เกมเปลี่ยนผ่าน โดย นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิชย์ อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่สนับสนุนพลังงานสะอาดทำให้การที่ไม่มีสหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางภายใต้กฎกติกาต่างๆ ถือเป็นการขยับนโยบายจากสหรัฐฯ ไปในบริบทฝั่งยุโรปและอังกฤษเองที่ยังพยายามรักษาโมเมนตั้มการเดินหน้าสู่นโยบายลดโลกร้อน
ทั้งนี้ ภายหลังที่ประเทศไทยได้ไปร่วมประชุมกับอียู ยังมีการหารือถึงนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero จึงต้องนำแผนการดำเนินงานและเครื่องมือไปเจรจา เพื่อให้การเจรจา FTA สำเร็จจะต้องใช้เรื่องของความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมาหารือ
"แม้สหรัฐฯ โดยนโยบายทรัมป์ 2.0 จะถอนตัวออกจากข้อตกลงและเอาเงินกองทุน 30% ก็ไม่ส่งและออกจากกองทุน รวมถึงยกเลิกนโยบายพลังงานสะอาด ไม่ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) รวมถึงยกเลิกกฏหมายการจัดการมลพิษ แต่หันไปสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันมากขึ้น โดยเพิ่มปริมาณกว่า 8 แสนบาร์เรลในช่วงแรก แต่ยังมีอีก 14 รัฐขนาดใหญ่ยังให้ความสำคัญและอยู่ในแผนของเป้า Net Zero และก็ไม่ถอนตัว ส่วนสถาบันทางการเงินเองมีการปรับท่าทีพอสมควรเพื่อให้อยู่ได้ตามนโยบายสหรัฐฯ"
อย่างไรก็ตาม สถาบันทางกาเงินขนาดใหญ่ ยังคงพอร์ตด้านกรีนที่ยังคงเดินหน้านโยบายต่อ ดังนั้น ในหลักความเป็นจริงต่อให้สหรัฐฯ มีนโยบายอย่างไรน้ำแข็งขั้วโลกก็จะยังไม่หยุดแตก และจะมีน้ำแขงอื่นทั่วโลกที่จะยังแตกเพิ่มขึ้น ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ดังนั้น ในระยสั้นนี้ ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อรองรับให้ได้ แต่ในระยะกลางและระยะยาว จะหยุดการเปลี่ยนแปลงตามกฏกติกาโลกใหม่ ทั้งอียูและยุโรปที่บีบบังคับและมุ่งเป้าไปสู่ Net Zero ร่วมกัน
นอกจากนี้ สำหรับยุโรปเอง ได้กำหนดมาตรการ CBAM ที่จะบังคับใช้ปี 2569 นี้ ส่วนมาตรการอังกฤษปี 2570 รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำลายป่าจะกำหนดสินค้าที่ควบคุมด้วย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากเราไปต่อรองกับประเทศเหล่านี้ และไม่สามารถยืนยันได้ว่านโยบายประเทศไทยไปในทิศทางนี้จึงอาจจะยากที่จะใช้กลไกในการเจรจาให้สำเร็จได้ ดังนั้น การเดินหน้าเพื่อลดโลกร้อนจึงรอไม่ได้ แม้ในกระบวนการอาจต้องใช้ระยะเวลา ถ้าจะกลับมาเริ่มต้นใหม่จึงยากเพราะด้วยบริบทโลกทั้งราคาของเทคโนโลยีที่ลดลง แต่ด้วยกฎระเบียบ CBAM ที่จะบีบสินค้านำเข้าใน 7 สินค้าและอีกหลายชนิดจะกระทบจึงต้องเตรียมตัวเพื่อไม่ให้กระทบในระยะสั้นนี้
การหารือกับนานาประเทศจะต้องนำเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายเพื่อทำให้รู้ว่าประเทศไทยนั้นทำจริง ซึ่งความท้าทายอาจจะเป็นเรื่องของเครื่องมือที่ยังไม่มี และยังติดข้อกฎหมายที่อยู่ระหว่างการปรับปรุง เพื่อรองรับต่อเทคโนโลบยีใหม่ที่จะเข้ามาช่วยลดคาร์บอน เช่น เทคโนโลยี CCS ซึ่งเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือเจรจาภาษีกับกรมสรรพากรเพื่อให้เกิดจุดศูนย์กลางร่วมกัน หรือแม้กระทั้งกฎหมาย SMR เป็นต้น ที่ต้องรีบออกมารองรับ เพราะจะเป็นกุญแจที่จะลดพลังงานได้ดี จึงต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านความปลอดภัย ซึ่งข้อดีคือช่วยลดคาร์บอนและดีต่อโลก เพราะกระบวนการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในไทยยังมีจำกัด
ทั้งนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างเดินหน้า ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยฉบับนี้จะต้องดูให้ละเอียดรอบด้าน ครอบคลุมและเป็นธรรมจะเป็นแพ็คเกจที่สมดุลไม่เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยจะมีการตั้งกองทุนภูมิอากาศที่มีขนาดใหญ่ ถือเป็นกลไกหลักสนับสนุนการเปลี่ยผ่านได้ โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ตนได้ชี้แจงต่อกระทรวงการคลัง เพื่อขออนุมัติการจัดตั้งกองทุนฯ และไม่ขอส่งเงินเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว ดังนั้น กองทุนฯ นี้จะช่วยเสริมเครื่องมือให้กับธนาคารให้สามารถจูงใจเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคได้
"ในกฏหมายนี้อยากเอาเงินส่วนนี้มาเชื่อมโยงขับเคลื่อนภาคเกษตรให้เข้าถึงมากขึ้น โดยวันนี้ ร่าง พ.ร.บ. เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เชื่อว่ากลางปี 2569 จะเห็นและได้ใช้ พ.ร.บ.ฉบับบนี้แน่นอน"
นายพิรุณ กล่าวว่า ภาครัฐเข้าใจความรู้สึกของหลายภาคส่วนที่ต้องรอกฎหมายมารองรับ ยอมรับว่าเป็นงานยากและไม่ง่ายจึงต้องให้กำลังใจกัน ซึ่งขณะนี้นโยบายมีความชัดเจนต่อเนื่องมากขึ้น การประชุมเวที COP30 ที่จะถึงนี้โดยบราซิลเป็นเจ้าภาพ ภาครัฐจะต้องส่งแผนนโยบายของการลดอุณหถูมิ ซึ่งอาจจะขยับเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนลง เพื่อเป็นกลไกสู่เป้าหมาย Net Zero
"ทั้งจีนหรืออังกฤษ และหลายประเทศต่างประกาศเป้าหมาย Net Zero เพื่อยืนยันความชัดเจนว่าต่างถือเป็นผู้นำในโลกยุคใหม่ ผลักดันการลดคาร์บอน ดังนั้น ประเทศไทยได้เตรียมแผนเพื่อใช้กลไกการบังคับและสนับสนุนในการขับเคลื่อนกลไกและเครื่องมือใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ คาร์บอนแท็กซ์ผลักดันโครงการที่ต้นทุนสูงมาอยู่ในแผนที่จะนำเนอและการเชื่องโยงกับต่างประเทศได้"
ทั้งนี้ นโยบายของเอกชนรายใหญ่สำคัญต่อประเทศมาก หลายองค์กรยังให้ความสำคัญในเรื่องของการทำธุรกิจเพื่อให้องค์กรอยู่ได้ แต่ยังมีการยืมเรื่องยั่งยืนมาใช้จึงต้องมีแผนที่ชัดเจน ส่วนตัวเข้าใจความปั่นป่วนของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันแต่เพื่อความอยู่รอด ดังนั้น อาจจะต้องส่งสัญญาณเพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจสามารถอยู่ไปรอดร่วมกัน ซึ่งภาครัฐจะคอยรับฟังความคิดเห็นจากเอชนมา แต่ภาครัฐก็มีข้อจำกัดหลายอย่างโดยเฉพาะกฎระเบียบที่ยังเก่า
"ภาคการเงินยังมีกองทุนสีเขียว จึงต้องเอามาขับเคลื่อนไฟแนนซ์ต่างๆ จะช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีที่ยังมีต้นทุนสูง การปรับปรุงกลไกการจัดสรรทางการเงินเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับเวิลด์ชวลแบงก์ในไทยให้เอากลไกเดียวกันไปใช้ ต้องฟังทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อน ถ้าไม่ทำอนาคตไทยจะไปได้หรือไม่ เมื่อทั้งโลกไปจุดหมายเดียวกัน จึงต้องโฟกัสไปสู่เป้าหมายเดียวกันทั้งรัฐและเอกชนที่ไม่สามารถปฎิเสธได้"







