‘เชื้อรา’ แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก ดื้อยามากขึ้น รักษายาก เพราะโลกร้อน

‘เชื้อรา’ แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก ดื้อยามากขึ้น รักษายาก เพราะโลกร้อน

“เชื้อรา” ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อ สาเหตุของการเสียชีวิตหลายล้านรายต่อปีจะแพร่กระจายไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ เมื่อโลกร้อนขึ้น และโลกก็ยังไม่พร้อมรับมือกับมัน

KEY

POINTS

  • เชื้อราแอสเปอร์จิลลัสบางสายพันธุ์จะขยายอาณาเขตแพร่กระจายออกไปอีก เมื่อวิกฤติภูมิสภาพอากาศทวีความรุนแรงขึ้น
  • โดยแพร่กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ในอเมริกาเหนือ ยุโรป จีน และรัสเซีย 
  • เชื้อราที่ก่อโรคยังดื้อต่อการรักษามากขึ้นอีกด้วย และยังมียารักษาโรคเชื้อราเพียง 4 กลุ่มเท่านั้น

เชื้อรา” เป็นอาณาจักรสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ มีอยู่ทุกที่ในโลกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย แม้จะมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ แต่สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ ในแต่ละปีโรคเชื้อราคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 2.5 ล้านคน โดยตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้มาก เนื่องจากหลายพื้นที่ขาดข้อมูล

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ใช้การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์และการคาดการณ์เพื่อทำแผนที่การแพร่กระจายของเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส (Aspergillus) ในอนาคต โดยกลุ่มเชื้อรานี้สามารถพบได้ทั่วโลก เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อราแอสเปอร์จิลโลซิส (Aspergillosis) ที่เป็นอันตรายต่อปอดและทำให้เสียชีวิตได้

พวกเขาพบว่าเชื้อราแอสเปอร์จิลลัสบางสายพันธุ์จะขยายอาณาเขตแพร่กระจายออกไปอีก เมื่อวิกฤติภูมิสภาพอากาศทวีความรุนแรงขึ้น โดยแพร่กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ในอเมริกาเหนือ ยุโรป จีน และรัสเซีย 

“เราไม่ได้ทำการวิจัยเชื้อรามากนัก เมื่อเทียบกับไวรัสและปรสิต แต่แผนที่เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเชื้อราอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกในอนาคต” นอร์แมน ฟาน ไรน์ นักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ หนึ่งในทีมนักวิจัยกล่าว

ปัจจุบันในโลกนี้ยังมีเชื้อราอีกกว่า 90% ที่ยังไม่สามารถระบุชนิดได้ ในแต่ละปี การติดเชื้อราที่รุกรานทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3.8 ล้านคน

เชื้อราแอสเปอร์จิลลัสเติบโตในดินทั่วโลก สามารถแพร่กระจายข้ามทวีปได้ โดยจะปล่อยสปอร์ขนาดเล็กจำนวนมากที่แพร่กระจายไปในอากาศ ทำให้มนุษย์สูดดมสปอร์ทุกวันโดยไม่รู้ตัว แต่คนทั่วไปมักจะไม่มีปัญหาสุขภาพใด ๆ เพราะระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถกำจัดสปอร์เหล่านี้

แต่เป็นอันตรายสำหรับผู้ที่มีภาวะปอด เช่น หอบหืด โรคซิสติกไฟโบรซิส และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น มะเร็งและผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่รุนแรงหรือโควิด-19

หากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถกำจัดสปอร์ได้ เชื้อราจะเริ่มเติบโตและกัดกินร่างกายจากภายในสู่ภายนอก อัตราการเสียชีวิตจากโรคแอสเปอร์จิลโลซิสอยู่ที่ 20-40% ซึ่งถือว่าสูงมาก อีกทั้งการวินิจฉัยโรคยังทำได้ยาก เพราะผู้ป่วยมักมีอาการไข้และไอ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในโรคหลายชนิด ทำให้แพทย์อาจไม่พบโรคนี้ได้เสมอไป

นอกจากนี้ เชื้อราที่ก่อโรคยังดื้อต่อการรักษามากขึ้นอีกด้วย และยังมียารักษาโรคเชื้อราเพียง 4 กลุ่มเท่านั้น แถมสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เชื้อราแอสเปอร์จิลลัสแพร่ไปยังภูมิภาคใหม่ ๆ ได้อีก

การศึกษายังพบอีกว่า เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส (Aspergillus flavus) สามารถทำให้เกิดโรคเชื้อราในพืช และก่อให้เกิดสารพิษอะฟลาทอกซิน ซึ่งอาจทำให้ตับเสียหายและเกิดมะเร็งได้ อาจแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น 16% หากมนุษย์ยังคงเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก คาดว่าเชื้อราจะแพร่ระบาดไปถึงอเมริกาเหนือ ทางตอนเหนือของจีน และรัสเซีย

เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น เชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัสที่อาศัยอยู่ในสภาพอบอุ่น ก็จะแพร่กระจายไปทางเหนือได้ไกลกว่าเดิม การศึกษาพบว่าการแพร่กระจายของเชื้อราอาจเพิ่มขึ้น 77.5% ภายในปี 2100 ซึ่งอาจส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรปถึง 9 ล้านคน รวมถึงส่งผลให้ความมั่นคงด้านอาหารและปัญหาสุขภาพของประชาชนแย่ลง

เชื้อราสายพันธุ์นี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงในมนุษย์ อีกทั้งดื้อยาหลายชนิดมากขึ้น นอกจากจะเป็นอันตรายกับมนุษย์แล้ว ยังทำให้พืชผลทางการเกษตรหลายประเภทติดเชื้อราด้วยเช่นกัน เชื้อราเหล่านี้ทำลายพืชผลก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค อาจเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอาหารได้

องค์การอนามัยโลกได้เพิ่มเชื้อราแอสเปอร์จิลลัส ฟลาวัส เข้าในกลุ่มเชื้อราที่สำคัญในปี 2022 เนื่องจากมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและมีความเสี่ยงต่อการดื้อยาต้านเชื้อรา

“เนื่องจากมียาต้านเชื้อราเพียงไม่กี่ชนิดที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้ได้ เราจึงยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับภัยคุกคามจากเชื้อราที่เพิ่งเกิดขึ้น และต้องพิจารณาว่าสิ่งนี้ รวมถึงการพัฒนาวัคซีน เป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการตอบสนองความต้องการอย่างเร่งด่วน” เอเลน บิกเนลล์ ผู้อำนวยการร่วมของศูนย์ MRC ด้านวิทยาเชื้อราทางการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์กล่าว

ถึงแม้เชื้อรานี้จะแพร่กระจายได้ไกลกว่าเดิม แต่ในทางกลับกันอุณหภูมิในบางภูมิภาค รวมถึงแอฟริกาใต้สะฮารา อาจร้อนจัดจนเชื้อรานี้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีกต่อไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากเชื้อรามีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ รวมถึงดินที่มีสุขภาพดี

โลกที่ร้อนขึ้นไม่เพียงขยายขอบเขตการเติบโตเท่านั้น แต่ยังทำให้เชื้อราสามารถทนต่ออุณหภูมิได้มากขึ้น จนสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้ดีขึ้น

สภาพอากาศที่เลวร้าย เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และคลื่นความร้อน อาจส่งผลกระทบต่อเชื้อราได้เช่นกัน โดยช่วยแพร่กระจายสปอร์ได้ในระยะทางไกล โรคเชื้อราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดภัยธรรมชาติ เช่น การระบาดหลังจากพายุทอร์นาโดในปี 2011 ที่เมืองจอปลิน รัฐมิสซูรี

แม้ว่าโรคแอสเปอร์จิลโลซิสจะเป็นโรคร้ายแรง แต่กลับยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของเชื้อก่อโรคในสิ่งแวดล้อมและผู้ที่ติดเชื้อ โดยจัสติน เรไมส์ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อมแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กำลังดำเนินการศึกษาผู้ป่วยมากกว่า 100 ล้านคนทั่วสหรัฐ พบว่าผู้ป่วยโรคแอสเปอร์จิลโลซิสได้มากกว่า 20,000 รายระหว่างปี 2013-2023 โดยมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ทุกปี

“เชื้อราก่อโรคพบได้ทั่วไปมากขึ้นและรักษาได้ยากขึ้น และเราเพิ่งจะเริ่มเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลต่อโรคนี้อย่างไร ผู้คนคุ้นเคยกับโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต แต่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับโรคที่เกิดจากเชื้อรา” บิกเนลล์กล่าว

คาดว่าเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น ภัยแล้งตามด้วยฝนตกหนัก จะทำให้การติดเชื้อราเพิ่มขึ้น สภาวะเหล่านี้จะรบกวนดิน ปล่อยสปอร์สู่บรรยากาศ ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาด เช่น โรคแอสเปอร์จิลโลซิส กลุ่มประชากรกลุ่มด้อยโอกาส โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อราเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคร้ายแรง อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและระบบดูแลสุขภาพที่ไม่ดีพอ


ที่มา: CNNFinancial TimesNewsweek