ปี 2025 การจัดซื้อสีเขียวขึ้นแท่นกลยุทธ์ รัฐ–เอกชน หนุนเป้า Net Zero

ปี 2025 การจัดซื้อสีเขียวขึ้นแท่นกลยุทธ์ รัฐ–เอกชน หนุนเป้า Net Zero

ภาครัฐและภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงแนวทาง ESG การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production)

KEY

POINTS

  • ภาครัฐและภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงแนวทาง ESG
  • การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการผลิต และการบริโภคที่ยั่งยืนในทุกๆ ภาคส่วน
  • ยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประเทศไทย

ในปี 2025 การจัดซื้อสีเขียว (Green Procurement) กลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การจัดซื้อสีเขียวไม่เพียงแต่เป็นการเลือกสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการลงทุนที่มีผลต่อการลดต้นทุนในระยะยาว เช่น การลดการใช้พลังงานและการจัดการขยะ

องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Thailand Business Council for Sustainable Development หรือ TBCSD) ในฐานะเครือข่ายธุรกิจที่เกิดจากการรวมตัวกันขององค์กรภาคธุรกิจไทยและรัฐวิสาหกิจจำนวน 46 องค์กรที่เป็นผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ร่วมกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (Thailand Environment Institute หรือ TEI) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมที่มีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมในการยกระดับการบริหารจัดการ สิ่งแวดล้อมอันครอบคลุมทุกมิติ จัดงานสัมมนาเรื่อง “Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน”

หนุนเป้าหมายประเทศ

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กล่าวว่า TBCSD ได้เดินทางมาถึงปีที่ 32 และยังคงเดินหน้าสนับสนุนเป้าหมายสำคัญของประเทศในการมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Greenhouse Gas Emissions ภายในปี 2065 ผ่านการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ความสำเร็จไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงลำพัง ภาครัฐ ทำเพียงลำพังก็ไม่สำเร็จ และ ภาคเอกชน ทำเพียงลำพังก็ไม่สำเร็จ เพราะสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น บางครั้งมีต้นทุนที่สูงกว่า ส่งผลให้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐซึ่งมุ่งเน้นราคาถูก อาจไม่ได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของตลาด

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้าง ความสมดุล เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ผมเชื่อมั่นว่าความสมดุลเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคง การดำเนินธุรกิจต้องคำนึงถึง ผลกำไรและความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กันไป มิใช่มุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไรสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม

วัตถุประสงค์ของเวทีสัมมนา “Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน” เพื่อให้หน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินงานที่ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG ส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แนวทางสู่อนาคตที่สมดุล

สิ่งที่ "ประเสริฐ" เน้นคือ แนวทางสู่ความยั่งยืนต้องเกิดจากความสมดุล เราไม่สามารถพึ่งพาความร่วมมือเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีแนวทางกำกับ หรือบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไปจนขัดขวางการพัฒนา

"ประเทศไทยดำรงอยู่จนถึงวันนี้เพราะมีคนดีมากกว่าคนไม่ดี หากองค์กรใดมีคนไม่ดีมากกว่าคนดี องค์กรนั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว เช่นเดียวกับแนวคิดขององค์กรที่ต้องการมีความยั่งยืน เช่น ปตท. ที่ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กร 100 ปี ซึ่งต้องมีความสามารถในการปรับตัวและขับเคลื่อนธุรกิจให้สมดุลทั้งด้านกำไรและความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทไทยที่มีอายุเกิน 100 ปี นั้นมีไม่มาก เช่น สยามซีเมนต์ (SCG) ซึ่งเป็นตัวอย่างขององค์กรที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานและมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม"

ส่งเสริม SDG 12.7 และ 12.6

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและเลขาธิการองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้เน้นย้ำว่าแนวทางดังกล่าวเป็นการส่งเสริมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDG 12.7 และ 12.6 ซึ่งเน้นการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

"การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero) เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการลดการใช้พลังงาน การสนับสนุนการรีไซเคิล และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แนวทางดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 โดยมีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วม และต่อมาได้ขยายสู่ภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระยะถัดมา"

ในปัจจุบัน การดำเนินงานยังอยู่ในลักษณะ "สมัครใจ" แต่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลาง ทั้งในด้านกฎระเบียบและนโยบาย โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนหน่วยงานที่เข้าร่วม รวมถึงเพิ่มมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐมีมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท และในระดับท้องถิ่นมีมูลค่าหลักสิบล้านบาท

กลไกสนับสนุน

ปัจจุบันมีคณะอนุกรรมการ 8 คณะ สนับสนุนการดำเนินงานด้านนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมกับความร่วมมือกับสมาคมสิ่งแวดล้อมไทย ในการพัฒนาบัญชีรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง "ฉลากเขียว" ซึ่งมีจำนวนถึง 39 ประเภท และ 142 ประเภทย่อย

โครงการ "ตะกร้าเขียว" ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ส่งเสริมผู้ประกอบการที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้เกณฑ์ประเมินที่คล้ายคลึงกับฉลากเขียว เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การรับรองฉลากอย่างเป็นทางการ

บูรณาการระบบและการติดตามผล

เพื่อรองรับการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ เช่น กรมควบคุมมลพิษ ได้พัฒนาเว็บไซต์สำหรับรายงานข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างอย่างสะดวกและทันสมัย ในขณะที่กรมบัญชีกลางและกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้บรรจุเกณฑ์นี้เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของหน่วยงาน

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 มีสินค้าขึ้นทะเบียนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า 1,400 รายการ โดย 74% ได้รับการรับรองฉลากเขียว และมีผู้ประกอบการขึ้นทะเบียนรวมแล้วประมาณ 182 ราย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของระบบสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศ

ฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ดร.ถนอมลาภ รัชวัตร์ ผู้จัดการฝ่ายฉลากเขียวและฉลากสิ่งแวดล้อม สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “ความสำคัญของการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกลไกสู่ Net Zero” ว่า การจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน กุญแจสำคัญ คือ การผสานเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการปกติโดยให้ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ (ESG)

ทั้งนี้ การพัฒนากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่ช่วยนำไปสู่เป้าหมายของ Net Zero นั้นสามารถทำได้ เช่น กำหนดเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมแก่คู่ค้าหรือ
ผู้ให้บริการในห่วงโซ่อุปทาน เช่น สินค้าต้องมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ำ สินค้าได้การรับรองฉลากเขียว (Green Label)
วัตถุดิบเป็นวัสดุรีไซเคิล หรือ วัสดุหมุนเวียน ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ต้องมีนโยบายลดการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น 
จากเหตุผลเหล่านี้ จะเห็นว่าหากเลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ได้ฉลากเขียวแล้ว ก็จะช่วยให้เกิดความมั่นใจว่าการจัดการห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย และช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้เข้าสู่เป้าหมายของ Net Zero 
ได้อีกทางหนึ่ง

ช่วงการเสวนาเรื่อง “ภาคธุรกิจไทยมุ่งสู่ Net Zero ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่ยั่งยืน” มีผู้บริหารจากองค์กร
ภาคธุรกิจไทยที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) โดยการส่งเสริมการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนในทุกๆ ภาคส่วน เพื่อเป็นการยกระดับประเทศสู่เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตอบสนองนโยบายของประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ดังนี้

ดร.จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทภายใต้แนวคิด “Build Today… Beyond Tomorrow…ที่สุดของนวัตกรรม เพื่อพรุ่งนี้ที่ยั่งยืนกว่า” พร้อมสร้างก้าวต่อไปด้วยนวัตกรรมสินค้าก่อสร้างที่มีคุณภาพและบริการอย่างสร้างสรรค์ 
ที่ให้ความสำคัญกับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งพนักงาน ลูกค้า รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งทาง
ตรงและทางอ้อม บนพื้นฐานของการรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคม ร่วมกันเสริมสร้างความแข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในอนาคต เพื่อสร้างสมดุลให้ เราอยู่ได้-โลกอยู่ดี-สังคมมีสุข

นางเบญจพร นำศิริ Supply Chain Director บริษัท แซง-โกแบ็ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบริษัท Saint-Gobain กำหนด Responsible Purchasing สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัท ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่องค์กรนำมาใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มจากการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนในการ เลือกวัตถุดิบ สินค้า
และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจ และ ตระหนักถึงบทบาทของตน
ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน ตลอดจนมีการคัดเลือกผู้จัดจำหน่ายที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม มีแนวทาง
ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ และร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero Carbon ภายในปี 2593 การบูรณาการ กระบวนการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
อีกด้วยและเป็นไปตามเป้าหมายของกลุ่ม Saint-Gobain “Making the world a better home”

นายต่อศักดิ์ หิรัญโญภาส Operation Director - Drying and Firing Technology บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด กล่าวว่า “ปัจจุบันปัญหาโลกร้อน เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกคนกำลังเผชิญ และต้องเร่งแก้ปัญหาร่วมกัน เอสซีจี และบริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญทั้งนโยบายและการร่วมมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน บริษัท สยามไฟเบอร์กลาส จำกัด ได้การรับรองฉลากเขียว (Green Label) มาอย่างยาวนาน จากกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบหลักที่ใช้
เศษขวด Recycle มาใช้ในการผลิตสินค้า ทำให้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกและประหยัดพลังงาน
ในการหลอม โดยตั้งแต่ปี 2009 เราช่วยใช้เศษขวดแตกที่ใช้แล้ว มากกว่า 420 ล้านขวด อีกทั้งสินค้าฉนวนกันความร้อน SCG ก็เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์เรื่องการช่วยประหยัดพลังงาน โดยถ้ามีการใช้ฉนวนกันความร้อนในบ้าน เครื่องปรับอากาศจะทำงานน้อยลง สามารถประหยัดไฟเฉลี่ย 900 KWh/เครื่อง/ปี จะช่วยโลกลดการปลดปล่อย CO2 จากการผลิตไฟฟ้าได้มาก ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียว จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยโลก
เรื่องสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ภาคธุรกิจไทยที่มุ่งสู่ Net Zero สังคมคาร์บอนต่ำ การจัดซื้อจัดจ้างมีความสำคัญในการเลือกใช้วัสดุ สินค้า ที่มีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม จะสร้างความยั่งยืนให้กับภาคธุรกิจไทยและโลกในอนาคต”

วิภาดา นาคไพรัช ผู้อำนวยการสายงาน SHE & Quality Management and Sustainability บริษัท 
ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “Greenovation” เพื่อให้อาคารและ
สิ่งปลูกสร้างสามารถส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่มนุษย์และระบบนิเวศ อันเป็นรากฐานสำคัญของสถาปัตยกรรมที่ยั่งยืนในยุคต่อไป ในปัจจุบันผลิตภัณฑ์สีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการสร้างสรรค์ความงามและความสุนทรีย์ แต่ยังก้าวความไปสู่บทบาทสำคัญในการบรรเทาวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะโลกร้อน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างครอบคลุมตลอดวัฏจักรชีวิตของอาคาร ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างไปจนถึงการใช้งาน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของทีโอเอ จึงมิได้เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้วัสดุ แต่เป็นการเชื้อเชิญ
ทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกอย่างแท้จริง”