คอรัลไลฟ์ พัฒนาโซลูชั่นอาคาร ตอบโจทย์ ESG – Wellness ลดค่าไฟ 70% ได้จริง

คอรัลไลฟ์ พัฒนาโซลูชั่นอาคาร ตอบโจทย์ ESG – Wellness ลดค่าไฟ 70% ได้จริง

คอรัลไลฟ์ พัฒนาอาคารต้นแบบแห่งแรกในเอเชีย ที่สามารถลดการใช้พลังงานได้จริงมากกว่า 70% เลือกทิศทาง-วัสดุ เพื่อลดความร้อนและการใช้พลังงาน

KEY

POINTS

  • คอรัลไลฟ์ พัฒนาอาคารต้นแบบแห่งแรกในเอเชีย ที่สามารถลดการใช้พลังงานได้จริงมากกว่า 70%
  • เลือกทิศทาง-วัสดุ เพื่อลดความร้อนและการใช้พลังงาน
  • คอรัลไลฟ์ค่าไฟเหลือเพียง 70,000–80,000 บาท/เดือน ประหยัดกว่าอาคารทั่วไปถึง 3.8 ล้านบาท/ปี
  • ESG ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ แต่ควรสร้างผลตอบแทน เช่น EPS, การลดต้นทุน, Carbon Credit
  • หลายประเทศเริ่มบังคับแสดงค่าคุณภาพอากาศ (CO₂, PM2.5, เชื้อโรค ฯลฯ)
  • หากองค์กรดำเนินการอย่างยั่งยืน คาร์บอนที่ลดลงจะตามมาเอง

บริษัท คอรัลไลฟ์ จำกัด โดย “เจมส์ ดูอัน” ผู้ก่อตั้งบริษัทและผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อความยั่งยืน ที่ยึดแนวคิดและทิศทางการพัฒนาอาคารยุคใหม่ มุ่งเน้น “การทำอาคารประหยัดพลังงานที่ตอบโจทย์ ESG เทรนด์โลก และ Wellness เพื่อสุขภาพมนุษย์

โดย “เจมส์” เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอาคาร คอรัลไลฟ์ ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งแรกในเอเชีย ที่ก่อสร้างและพัฒนาขึ้นให้สามารถลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 70% จากการใช้งานจริง พร้อมแสดงข้อมูลเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการใช้งานอาคารต้นแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน

แนวทางการพัฒนาอาคารของบริษัทได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มของธุรกิจในปี 2568 และอนาคตอันใกล้ โดยเน้นหนักใน 3 แกนหลัก ได้แก่

  • Location – การเลือกที่ตั้งอาคารอย่างเหมาะสม

การออกแบบที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น ทิศทางแสงแดด ลม และการใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติลดความร้อน เป็นปัจจัยสำคัญในการลดการใช้พลังงานของอาคาร

  • Intelligent Occupancy (IO) – การออกแบบที่คำนึงถึงพฤติกรรมผู้ใช้งาน

อาคารของคอรัลไลฟ์ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานจริง โดยมีระบบจัดการแสงสว่าง อากาศ และพลังงานที่ปรับตามจำนวนผู้ใช้งานอาคาร เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและประหยัดพลังงานสูงสุด

  • Digital Confirmation – การติดตามและวัดผลพลังงานอย่างแม่นยำ

ระบบดิจิทัลถูกนำมาใช้ในการวัดค่าการใช้พลังงาน เช่น ระบบปรับอากาศ ปั๊มน้ำ และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ พร้อมรายงานผลแบบรายวันและรายเดือน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ อาคารต้นแบบของบริษัทไม่เพียงแต่แสดงถึงนวัตกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นในระดับโลก ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยควรให้ความสำคัญ

“ผมมองว่าอาคารในอนาคตควรเป็นมากกว่าสถานที่พักอาศัยหรือทำงาน แต่ควรเป็นอาคารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน”

การใช้พลังงานในอาคารสำนักงาน

หนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก คือการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเปลี่ยนอาคารสำนักงานให้ฉลาดขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น และส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้งานอย่างรอบด้าน โดย “เจมส์” เล่าว่า ปัจจุบันอาคารสำนักงานในประเทศไทยมีการใช้พลังงานเฉลี่ยอยู่ที่ 300 วัตต์ต่อตารางเมตร หรือที่เรียกว่า ค่า EUI (Energy Use Intensity) หากคำนวณจากอาคารขนาด 10,000 ตารางเมตร จะพบว่าอาคารนั้นๆ ใช้พลังงานถึง 3,000 หน่วยต่อวัน หรือ 12 ล้านบาทต่อปี (คิดค่าน้ำไฟที่ 4 บาทต่อหน่วย)

โดยกว่า 70% ของพลังงานทั้งหมดในอาคารสำนักงาน มาจากระบบปรับอากาศ ซึ่งถือเป็นภาระสำคัญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น อีก 30% ที่เหลือเป็นการใช้พลังงานในระบบแสงสว่างและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ

คอรัลไลฟ์ พัฒนาโซลูชั่นอาคาร ตอบโจทย์ ESG – Wellness ลดค่าไฟ 70% ได้จริง

ออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน

หลายคนเข้าใจว่า ‘การประหยัดพลังงาน’ คือแค่การปิดไฟหรือปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน แต่ในมุมมองของ “เจมส์” การประหยัดที่แท้จริงคือ ‘การออกแบบให้ไม่ต้องใช้’ ตั้งแต่ต้น

โดยทั่วไปแล้ว บ้านหรืออาคารที่เราใช้กันทุกวันจะใช้เครื่องปรับอากาศในอัตราเฉลี่ยประมาณ 1,000 BTU ต่อตารางเมตร เช่น ห้องนอนขนาด 16 ตารางเมตร ต้องใช้แอร์ขนาด 12,000 BTU ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปที่หลายคนคุ้นเคย

แต่ออฟฟิศของ ‘คอรัลไลฟ์’ มีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 3,000 ตารางเมตร ถ้าอ้างอิงตามเกณฑ์มาตรฐาน ควรต้องใช้แอร์ถึง 3,000,000 BTU แต่จากแนวทางการออกแบบที่คอรัลไลฟ์ใช้ ทั้งในเรื่องทิศทางอาคาร การจัดการแสงธรรมชาติ การเลือกวัสดุที่เหมาะสม และระบบระบายอากาศแบบอัตโนมัติ สามารถลดการใช้แอร์ลงเหลือแค่ 500,000 BTU ได้จริง

หลายคนถามผมว่า ‘มันเป็นไปได้ยังไง?’ ซึ่งผมยอมรับว่า บางครั้งมันก็อธิบายได้ยาก เพราะต้องอาศัยการคิดเชิงระบบและกล้าคิดต่าง แต่ผมเชื่อเสมอว่า ถ้าความคิดของผมไม่ทำให้ใครสงสัย มันก็คงไม่ใช่สิ่งใหม่ที่มีคุณค่า

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถควบคุมค่าไฟฟ้าในอาคารทั้งหมด ทั้งแอร์ แสงสว่าง และอุปกรณ์อื่น ๆ ให้อยู่ที่ประมาณ 70,000 ถึง 80,000 บาทต่อเดือน ขณะที่อาคารทั่วไปซึ่งใช้แอร์ 3 ล้าน BTU อาจต้องจ่ายเฉพาะค่าแอร์อย่างเดียวถึง 300,000 บาทต่อเดือน”

เมื่อมองในภาพรวมต่อปี อาคารทั่วไปอาจมีค่าไฟสูงถึง 4.8 ล้านบาท ขณะที่ออฟฟิศคอรัลไลฟ์อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น — ประหยัดไปได้ถึง 3.8 ล้านบาทต่อปี นี่ไม่ใช่แค่การประหยัด แต่คือการลงทุนในแนวคิดที่ยั่งยืนและเป็นไปได้จริง

คอรัล ไลฟ์ เป็นองค์กรแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานระดับโลกจากสถาบัน PHI (Passive House Institute) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน และแสดงถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลาง (Hub) สำหรับการขยายตัวทางธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ที่มีฐานประชากรกว่า 4,000 ล้านคนในปัจจุบัน

แพลตฟอร์ม Smart Building

ทีมวิจัยของคอรัลไลฟ์ได้พัฒนา แพลตฟอร์ม Smart Building ที่มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลแบบ Real-time มาช่วยจัดการพลังงานและทรัพยากรต่างๆ ภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวทางหลัก 3 ด้าน ดังนี้

1. การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่เพียงแค่พลังงานไฟฟ้า แต่ยังรวมถึงทรัพยากรอื่นๆ เช่น น้ำ ทีมวิจัยเสนอให้มีการวัดการใช้น้ำโดยเฉลี่ยของพนักงานต่อเดือน หากพบว่าใช้น้ำเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ จะสามารถวิเคราะห์ย้อนกลับไปที่ต้นเหตุ เช่น การทำงานของปั๊มน้ำหรือระบบสุขาภิบาล ซึ่งล้วนแต่มีผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยตรง แนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Transformation ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมาวัด วิเคราะห์ และควบคุมพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรให้สมดุลและยั่งยืน

2. คุณภาพอากาศภายในอาคาร

สุขภาพของผู้ใช้งานอาคารเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ระบบที่พัฒนาขึ้นจะสามารถควบคุมและตรวจวัดค่าคุณภาพอากาศได้แบบอัตโนมัติ โดยมีเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจน เช่น ค่า PM2.5 ต้องต่ำกว่า 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือใกล้ศูนย์ ความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน 60% ลดการสะสมของฝุ่นและแบคทีเรีย

ข้อมูลเหล่านี้จะถูกตรวจวัดและแสดงผลแบบ Real-time ซึ่งช่วยส่งเสริม Well-being หรือสุขภาวะของผู้ใช้อาคาร ได้อย่างเป็นรูปธรรม

3. ระบบหมุนเวียนอากาศแบบยืดหยุ่น

หนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นของแพลตฟอร์มนี้คือ ระบบหมุนเวียนอากาศที่ปรับตามจำนวนผู้ใช้อาคารจริง ตัวอย่างเช่น หากมีผู้ใช้อาคาร 100 คน และแต่ละคนต้องการอากาศหายใจ 30 ลบ.ม./ชม. ระบบจะปรับการนำอากาศเข้าอาคารให้เหมาะสมกับความต้องการดังกล่าว แต่หากมีเพียง 10 คน ระบบจะลดปริมาณอากาศที่นำเข้ามาโดยอัตโนมัติ

วิธีการนี้ช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศและระบบระบายอากาศที่ไม่จำเป็น ส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

ESG ควรเป็นการลงทุนที่วัดผลได้จริง

“เจมส์” กล่าวว่า หลายคนมองว่า ESG คือเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล ซึ่งถูกต้อง แต่ในโลกธุรกิจจริง ถ้าเราไม่สามารถชี้ให้เห็น ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างเป็นรูปธรรม โครงการเหล่านั้นก็จะไม่ยั่งยืนในระยะยาว

ESG จึงไม่ควรเป็นเพียงเครื่องมือทาง PR หรือใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์เท่านั้น แต่ควรผูกโยงกับผลลัพธ์ที่วัดได้ เช่น กำไรต่อหุ้น (EPS) การลดต้นทุนการดำเนินงาน หรือแม้กระทั่งการได้รับ Carbon Credit ซึ่งวันนี้ประเทศไทยก็เริ่มมีระบบรองรับในเรื่องนี้แล้ว โดยเฉพาะการลงทะเบียนและซื้อขาย GGO (Greenhouse Gas Offset)”
ลดคาร์บอนควรเป็น โบนัส

“แน่นอนว่าการลดคาร์บอนเป็นสิ่งจำเป็น แต่ผมเชื่อว่ามันควรเกิดขึ้นเป็น ผลพลอยได้ จากการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การออกแบบอาคารที่ลดการใช้ทรัพยากร หรือการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด”

ระบบเศรษฐกิจใหม่ของโลกกำลังถูกออกแบบให้ตอบแทนคนที่ ‘ลงทุนมากขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม’ ด้วยรางวัลหรือแรงจูงใจ เช่น สิทธิ์ในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี และนั่นแหละครับคือจุดที่ ESG จะไม่ใช่แค่คำพูด แต่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

กฎหมายสิ่งแวดล้อมของยุโรป

วันนี้หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า กฎหมายสิ่งแวดล้อมของยุโรปกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มงวด และแนวทางนี้กำลังมุ่งหน้ามาไทยในเร็วๆ นี้

ในหลายประเทศของยุโรป ขณะนี้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนว่า โรงเรียน ออฟฟิศ ร้านอาหาร และพื้นที่สาธารณะ ต้องแสดงค่าคุณภาพอากาศให้ประชาชนรับทราบ ไม่ว่าจะเป็นระดับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) PM2.5 ความชื้นสัมพัทธ์ หรือแม้กระทั่งจำนวนเชื้อโรคในอากาศ และหากค่าที่วัดได้เกินมาตรฐาน จะไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันที

“ผมอยากเน้นว่า ประเทศไทยเองก็จะเดินตามเส้นทางนี้ในไม่ช้า องค์กรใดที่เตรียมตัวก่อน ย่อมได้เปรียบทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว”

ยึดหลัก WHO เพื่อสุขภาพผู้อยู่อาศัย

คอรัลไลฟ์ยึดหลักของ WHO เป็นเกณฑ์ในการพัฒนาโซลูชันของเรา เช่น ค่ามาตรฐานเชื้อโรคในอากาศต้องต่ำกว่า 500 หน่วยต่อลูกบาศก์เมตร และที่สำคัญคือต้องทดสอบด้วยวิธีที่โปร่งใส เช่น การเลี้ยงเชื้อ 1 ชั่วโมง ใช้โปรตีนเฉพาะทาง และดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระในลักษณะ Blind Test — ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่โรงพยาบาลชั้นนำใช้กัน

“ทุกวันนี้ หลายองค์กรซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้โดยไม่รู้ว่าอากาศที่ได้สะอาดจริงหรือไม่ ในอนาคต ความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคจะไม่ใช่แค่การโฆษณา แต่ต้องมาพร้อมกับหลักฐานและการวัดผลที่ตรวจสอบได้จริง”

วันนี้ คอรัลไลฟ์ได้พัฒนา ‘Po Solution’ ซึ่งไม่ใช่แค่เครื่องปรับอากาศ แต่คือระบบครบวงจรที่รวมทั้งการปรับอากาศ การกรองฝุ่น ควบคุมความชื้น ฆ่าเชื้อโรคในอากาศ และที่สำคัญที่สุด วัดคุณภาพอากาศได้แบบ Real-Time

“มีคนถามผมว่า ทำไมไม่ใช้เทคโนโลยีจากญี่ปุ่นหรือยุโรป? คำตอบคือ ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ทั้งฝุ่น ความชื้น และจำนวนเชื้อโรคในอากาศสูงกว่าหลายประเทศมาก ถ้าเราเอาเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้โดยไม่ปรับให้เหมาะสม มันจะพังเร็ว ตันง่าย และไม่เกิดประสิทธิภาพจริง

เราภูมิใจมากที่ Po Solution ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) ที่เชิญไปร่วมนำเสนอในเวที Asia-Pacific และยังมีผู้แทนจากกระทรวงพลังงานของประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เดินทางมาศึกษาดูงานที่สำนักงานของเรา”