‘น้ำทะเล’ ขึ้นสูง เมืองชายฝั่งจม เกิด ‘การอพยพ’ ครั้งใหญ่ หากลดโลกร้อนไม่ได้

‘น้ำทะเล’ ขึ้นสูง เมืองชายฝั่งจม เกิด ‘การอพยพ’ ครั้งใหญ่ หากลดโลกร้อนไม่ได้

นักวิจัยเตือน “ระดับน้ำทะเล” จะสูงขึ้นจนควบคุมไม่ได้ หากโลกร้อนขึ้นทะลุ 1.5 องศาเซลเซียส และนำไปสู่ “การอพยพย้ายถิ่นฐาน” ครั้งใหญ่

KEY

POINTS

  • การสูญเสียมวลน้ำแข็งอย่างต่อเนื่องจากแผ่นน้ำแข็งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อประชากรที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทั่วโลก
  • หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 20 เซนติเมตรภายในปี 2050 เมืองชายฝั่งทะเลที่ใหญ่ที่สุด 136 แห่งของโลกจะเกิดความเสียหายอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
  • ทำให้เกิดอพยพของผู้คนจำนวนมากในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอารยธรรมสมัยใหม่

วิกฤติสภาพภูมิอากาศ” เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธารน้ำแข็งละลายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกา ที่ละลายจากเพิ่มขึ้น 4 เท่าตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ส่งผลให้ “ระดับน้ำทะเล” สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดูเหมือนว่าการรักษาอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ดูเลือนรางเต็มที่ แต่ต่อให้ทั่วทั้งโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในตอนนี้ การวิเคราะห์ใหม่พบว่าระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้นปีละ 1 ซม. ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ซึ่งเร็วกว่าความเร็วที่ประเทศต่าง ๆ จะสามารถสร้างแนวป้องกันชายฝั่งได้

การศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Communications Earth and Environment ได้นำข้อมูลจากการศึกษาในช่วงที่อากาศอบอุ่นเมื่อ 3 ล้านปีก่อน จากการสังเกตการละลายของน้ำแข็งและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแบบจำลองสภาพอากาศมาผสมผสานกัน พบว่าการสูญเสียมวลน้ำแข็งอย่างต่อเนื่องจากแผ่นน้ำแข็งเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อประชากรที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่งทั่วโลก

โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ภาวะโลกร้อนที่ 2.5-2.9 องศาเซลเซียส ซึ่งจะถึงจุดที่แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกาตะวันตกจะพังทลายลง และจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 12 เมตร ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่อยู่อาศัย

ในตอนนี้ผู้คนราว 230 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเลปัจจุบัน 1 เมตร และอีก 1,000 ล้านคนอาศัยอยู่ภายในระดับความสูงเหนือน้ำทะเล 10 เมตร

นักวิทยาศาสตร์คาดว่าระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยจะสูงขึ้นประมาณ 15 เซนติเมตร ในปี 2050 และอาจมากถึง 25-30 เซนติเมตรในสหรัฐ แต่หลังจากปี 2050 ยังไม่สามารถคาดเดาได้แน่ชัด 

แต่หากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 20 เซนติเมตรภายในปี 2050 เมืองชายฝั่งทะเลที่ใหญ่ที่สุด 136 แห่งของโลกจะเกิดความเสียหายจากอุทกภัยมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน

ศ.อังเดร ดัตตอน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน หนึ่งในนักวิจัยกล่าวว่า “หลักฐานที่รวบรวมได้จากช่วงที่อากาศอบอุ่นในอดีตบ่งชี้ว่าระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นหลายเมตรหรือมากกว่านั้น เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป”

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำว่าการหลีกเลี่ยงภาวะโลกร้อนทุก ๆ เศษเสี้ยวของอุณหภูมิโลกที่หลีกเลี่ยงได้ด้วยการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) เนื่องจากการกระทำดังกล่าวช่วยชะลอระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้น และช่วยให้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น จึงช่วยลดความทุกข์ทรมานของผู้คนได้

ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นผลกระทบระยะยาวที่สำคัญที่สุดของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ และการวิจัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเร็วกว่าที่ประเมินไว้มาก

นักวิจัยกล่าวว่า ในตอนนี้ยังไม่สามารถคำนวณได้ว่าอุณหภูมิที่ปลอดภัยต่อแผ่นน้ำแข็งที่ประเมินได้ยาก มีแนวโน้มว่าจะอยู่ที่ 1 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น แต่ในตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างน้อย 1-2 เมตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แผ่นน้ำแข็งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนที่สุด เพราะไม่รู้ว่าแผ่นน้ำแข็งจะตอบสนองต่อภาวะโลกร้อนที่รุนแรงเร็วเพียงใด และเมื่อไหร่จะไปถึงจุดเปลี่ยนและพังทลายอย่างรวดเร็ว

จากการศึกษาสิ่งต่าง ๆ เช่น แกนน้ำแข็งและตะกอน นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าการละลายอย่างรวดเร็วและรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ยังไม่ชัดเจนว่ากระบวนการดังกล่าวจะดำเนินไปอย่างไรในทศวรรษและศตวรรษต่อจากนี้

เมื่อสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด เมื่อประมาณ 15,000 ปีก่อน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 10 เท่าของปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองที่เสริมกำลังกันเอง โดยอาจเกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับเมื่อประมาณ 3 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่ที่ระดับก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศสูงเท่ากับปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลในตอนนั้นสูงขึ้น 10-20 เมตร

ศ.โจนาธาน แบมเบอร์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอลกล่าวว่า หากโลกเดินไปถึงจุดนั้น เราจะได้เห็นการอพยพของผู้คนจำนวนมากในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในอารยธรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่จะต้องเจอสถานการณ์เลวร้ายกว่าประเทศร่ำรวยที่มีงบประมาณและเครื่องมือในการรับมือภัยพิบัติ

ประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ตูวาลู คิริบาส และฟิจิ  ต้องแบกรับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเผชิญกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างน้อย 15 เซนติเมตรในช่วง 30 ปีข้างหน้า แม้ว่าโลกจะลดมลภาวะที่เกิดจากภาวะโลกร้อนลงก็ตาม ตามรายงานของ NASA

ตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา พื้นที่บริเวณชายฝั่งเผชิญกับน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้น แม้จะไม่มีพายุใหญ่หรือฝนตกหนักก็ตาม ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังส่งผลต่อการกัดเซาะชายฝั่ง ระบบบำบัดน้ำเสียอุดตัน และทำให้น้ำเค็มซึมเข้าไปในแหล่งน้ำจืดใต้ดิน บางพื้นที่เจอน้ำท่วมบ่อยในช่วงที่น้ำขึ้นสูง บางแห่งเกิดน้ำท่วมถนนเป็นเวลาหลายเดือน

“คลื่นที่ซัดเข้ามาท่วมถนนและพืชผลของเรา ชาวฟิจิต้องย้ายที่อยู่ และหากน้ำหากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านก็จะปรับตัวได้ยากมาก เพราะสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเร็วเกินไป และเช่นเคย ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด” จอร์จ นาเซวา นักเคลื่อนไหวชาวฟิจิจากกลุ่มสภาพอากาศ 350.org กล่าว

ขณะที่ เบลีซย้ายเมืองหลวงเข้าไปในแผ่นดินในปี 1970 หลังจากประสบภัยพายุเฮอริเคนที่รุนแรง แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุดของเบลีซยังคงอยู่บนชายฝั่ง และจะจมอยู่ใต้น้ำหากน้ำทะเลสูงขึ้นเพียง 1 เมตร 

คาร์ลอส ฟูลเลอร์ ผู้เจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศของเบลีซมายาวนาน กล่าวว่า “ผลการค้นพบเช่นนี้ยิ่งทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาระดับอุณหภูมิให้อยู่ในกรอบข้อตกลงปารีสที่ 1.5 องศาเซลเซียส หรือให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เราจะได้กลับสู่สภาวะอุณหภูมิที่ต่ำกว่าและปกป้องเมืองชายฝั่งของเรา”

ศาสตราจารย์คริส สโตกส์ แห่งมหาวิทยาลัยเดอแรม ผู้เขียนหลักของการศึกษา กล่าวว่า “ในตอนนี้เริ่มเห็นเค้าลางภัยพิบัติที่เลวร้ายบ้างแล้ว แม้ว่าในขณะนี้ อุณหภูมิสูงขึ้น 1.2 องศาเซลเซียส แต่ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากอุณหภูมิยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ก่อนสิ้นศตวรรษนี้เราก็แทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย”

อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรกในปี 2024 แต่เป้าหมายระหว่างประเทศนั้นวัดจากค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปี ดังนั้นในตอนนี้ยังไม่ถือว่าพลาดเป้ารักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

แม้ว่ามนุษย์จะสามารถทำให้อุณหภูมิของโลกกลับคืนสู่ระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมได้ โดยการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ แต่นักวิจัยกล่าวว่ายังคงต้องใช้เวลาหลายร้อยถึงหลายพันปีกว่าที่แผ่นน้ำแข็งจะฟื้นตัว นั่นหมายความว่าแผ่นดินที่สูญเสียไปจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นก็หายไปอีกนาน บางทีอาจจนกว่าโลกจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งครั้งต่อไป


ที่มา: CNNCommon DreamsDaily ClimateThe Guardian