Biophilic City เมืองในธรรมชาติ Smart City ที่แท้จริง| คิดอนาคต

Biophilic City เมืองในธรรมชาติ Smart City ที่แท้จริง| คิดอนาคต

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แนวคิด Smart City หรือเมืองอัจฉริยะกลายเป็นกระแสหลักของการพัฒนาเมืองทั่วโลก เทคโนโลยีดิจิทัล ระบบกล้องวงจรปิด อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

และปริมาณข้อมูลมหาศาล นำมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารและออกแบบเมือง เป้าหมายหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและแก้ไขปัญหาของเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ 

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้เพียงพอหรือไม่ในการสร้างเมืองที่น่าอยู่ในระยะยาว เมืองอัจฉริยะควรเป็นเพียงเมืองที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเท่านั้น หรือควรเป็นเมืองที่ทำให้ผู้คนได้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในชีวิตประจำวัน อะไรคือความอัจฉริยะที่แท้จริงของความเป็นเมือง?

ปัจจุบันมีแนวคิด “Biophilic City” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เสนออย่างน่าสนใจว่า เมืองควรออกแบบโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

แนวคิดนี้พัฒนามาจากแนวคิด Biophilia ของนักชีววิทยา E.O. Wilson ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับธรรมชาติ การออกแบบเมืองที่สอดคล้องกับธรรมชาติสามารถส่งเสริมสุขภาพกายและจิตใจของประชากรได้

เมืองที่ประสบความสำเร็จในอนาคต อาจไม่ใช่เมืองที่มีจำนวนเซ็นเซอร์มากที่สุด หรือเป็นเมืองที่มีข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุด แต่น่าจะเป็นเมืองที่ทันสมัยพอสมควร

ในขณะที่ก็เป็นเมืองที่ทำให้ผู้คนสามารถได้ยินเสียงนกในยามเช้า ได้กลิ่นดินหลังฝนตก หรือได้เห็นผึ้งบินตอมดอกไม้ริมทางได้ เมืองอัจฉริยะที่แท้จริงในแนวคิดนี้จึงเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติที่ถูกทำลายไปในการพัฒนาอย่างรวดเร็วที่ผ่านมา

หนึ่งในแนวทางสำคัญของ Biophilic City คือการสร้าง “Pollinator Pathways” หรือเครือข่ายเส้นทางที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้งและผีเสื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหาร

Pollinator Pathways เป็นการปลูกพืชพรรณพื้นถิ่นและดอกไม้ไว้เป็นจุดๆ เพื่อสร้างเครือข่ายการเชื่อมต่อที่ช่วยให้แมลงและผีเสื้อสามารถเคลื่อนย้ายข้ามเมืองได้โดยไม่ถูกขัดขวางจากกำแพงคอนกรีตและพื้นแข็ง

การสร้างเส้นทางเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการระดับรัฐ เพราะสามารถเริ่มต้นจากชุมชนหรือเจ้าของบ้านแต่ละคนที่เลือกปลูกต้นไม้พื้นถิ่นในสวนหน้าบ้าน หรือสร้างแปลงดอกไม้ริมทางเท้าได้เลย

การเชื่อมต่อพื้นที่สีเขียวผ่าน “Green Corridors” หรือทางเชื่อมต่อสีเขียวช่วยให้ต้นไม้สามารถกระจายตัวอย่างต่อเนื่องและสร้างความร่มรื่นในเมือง ต้นไม้และพืชพรรณช่วยลดอุณหภูมิของเมือง ปรับสมดุลความชื้น และลดปริมาณฝุ่นละอองในอากาศ

มีงานวิจัยจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และน้ำไหลผ่านช่วยลดความเครียด ส่งเสริมสุขภาพจิตของคนเมือง

อย่างไรก็ตาม เมืองในปัจจุบันกลับถูกสร้างขึ้นบนหลักคิดของการแยกส่วนระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองถูกปกคลุมด้วยคอนกรีตและแอสฟัลต์

ซึ่งทำลายหน้าดิน ขัดขวางการซึมของน้ำและการเติบโตของพืช ส่งผลให้เมืองเกิดปัญหาทางนิเวศ เช่น เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island) และน้ำท่วมฉับพลัน 

เมืองที่เต็มไปด้วยพื้นแข็งยังเป็น “ทะเลทรายทางนิเวศ” สำหรับแมลงและสัตว์ขนาดเล็กที่จำเป็นต่อระบบนิเวศ โดยเฉพาะผึ้งและแมลงผสมเกสรที่กำลังลดจำนวนลงทั่วโลก

หนึ่งในแนวทางที่กำลังเกิดขึ้นเพื่อคืนธรรมชาติสู่เมือง เช่น โครงการ “Depave” หรือการลอกพื้นคอนกรีตออกจากพื้นที่เมือง ขบวนการ Depave ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายเมืองทั่วโลก

เช่น Portland ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งประชาชนรวมตัวกันลอกพื้นคอนกรีตออกจากลานจอดรถเก่าหรือพื้นที่รกร้าง เพื่อคืนพื้นที่ให้ดินได้ฟื้นตัวและเปิดโอกาสให้พืชและสัตว์กลับมา 

การ Depave เป็นการเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับเมือง จากเมืองที่กันธรรมชาติออกไปสู่เมืองที่สามารถซึมซับธรรมชาติกลับเข้ามา ทุกๆ ตารางเมตรของพื้นที่ที่ปลดปล่อยดินจากคอนกรีตได้ คือพื้นที่ที่สามารถซึมน้ำได้ดีขึ้น ช่วยลดน้ำท่วม เลี้ยงดินให้สมบูรณ์ และเปิดทางให้ระบบนิเวศฟื้นตัว

แนวคิด Biophilic City นอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองแล้ว ยังต้องการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางความคิดและการออกแบบเมืองใหม่

เมืองที่มีต้นไม้มากขึ้น มีน้ำและอากาศที่บริสุทธิ์ขึ้น และช่วยให้ผู้คนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะกลายเป็นเมืองที่ยั่งยืนและน่าอยู่ในระยะยาว

หลายเมืองกำลังพัฒนาไปสอดคล้องกับแนวคิด Biophilic เช่น สิงคโปร์ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองในสวน” ด้วยโครงการสวนแนวตั้ง สวนบนดาดฟ้า และการออกแบบอาคารที่เน้นธรรมชาติ

เช่น Supertree Grove และสวนพฤกษศาสตร์ เมืองออสโล (นอร์เวย์) ซึ่งเป็นเมืองที่เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและสร้างระบบทางเดินที่ผสานกับธรรมชาติ 

เมืองพอร์ตแลนด์ (สหรัฐอเมริกา) ส่งเสริมสวนชุมชน ระบบระบายน้ำธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกัน และเมืองเวลลิงตัน (นิวซีแลนด์) มีการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในเมืองและสนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ป่า

ในอนาคต เมืองอัจฉริยะที่แท้จริงคงไม่ใช่เป็นเพียงเมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล แต่น่าจะต่อยอดไปสู่เมืองที่สามารถให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสะท้อนคำว่าอัจฉริยะอย่างแท้จริง 

Biophilic City เมืองในธรรมชาติ Smart City ที่แท้จริง| คิดอนาคต