‘ฮาวาย’ ขึ้นภาษีนักท่องเที่ยว หาเงินปกป้องสิ่งแวดล้อม-รับมือภัยพิบัติ

‘ฮาวาย’ ขึ้นภาษีนักท่องเที่ยว หาเงินปกป้องสิ่งแวดล้อม-รับมือภัยพิบัติ

“ฮาวาย” เตรียมขึ้น “ภาษีนักท่องเที่ยว” ที่พักในโรงแรม ที่พักตากอากาศ และที่พักระยะสั้นอื่น ๆ เพื่อรับมือกับ “ภาวะโลกร้อน”

KEY

POINTS

  • ฮาวายเห็นชอบ ผ่าน “ค่าธรรมเนียมสีเขียว” (Green Fee) เพิ่มภาษีห้องพักรายวันอีก 0.75% เพื่อระดมทุนสำหรับการปกป้องสิ่งแวดล้อมจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

  • เมื่อรวมอัตราภาษีสะสมทั้งหมดจะทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม 18.712% ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีสูงที่สุดในสหรัฐเป็นอันดับ 3

  • เจ้าหน้าที่ประเมินว่าภาษีนี้จะสร้างรายได้เกือบ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี

สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของรัฐฮาวายเห็นชอบ ผ่าน “ค่าธรรมเนียมสีเขียว” (Green Fee) เพิ่มภาษีห้องพักรายวันอีก 0.75% เพื่อระดมทุนสำหรับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างการป้องกันภัยธรรมชาติที่เกิดจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

ร่างกฎหมายนี้จะเพิ่มภาษีห้องพักโรงแรม ไทม์แชร์ ที่พักตากอากาศ และที่พักระยะสั้นอื่น ๆ อีก 0.75% พร้อมเก็บภาษีเรือสำราญเพิ่มอีก 11% โดยคิดตามจำนวนวันที่เรือจอดอยู่ในท่าเรือของฮาวาย

ผู้ว่าการรัฐฮาวาย จอช กรีน สนับสนุนและคาดว่าจะลงนามในกฎหมายฉบับนี้ โดยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “กฎหมายฉบับนี้ซึ่งฉันตั้งใจจะลงนาม ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศ ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นจากรุ่นสู่รุ่นในการปกป้องดินแดนของเรา ฮาวายกำลังสร้างมาตรฐานใหม่อย่างแท้จริงในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศ”

เจ้าหน้าที่ประเมินว่าภาษีนี้จะสร้างรายได้เกือบ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยจะค่าภาษีที่ได้ไปใช้สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่สามารถดำเนินการได้ในกรอบเวลา 1-2 ปีเช่น การเติมทรายบนชายหาดไวกีกิที่กำลังถูกกัดเซาะ การส่งเสริมการใช้ “คลิปเฮอร์ริเคน” สำหรับยึดหลังคาบ้านระหว่างที่เกิดพายุรุนแรง และการกำจัดหญ้าที่ติดไฟได้ง่าย เช่น หญ้าที่ก่อให้เกิดไฟป่าร้ายแรงที่ทำลายพื้นที่ใจกลางเมืองลาไฮนาในปี 2023

นอกจากนี้ยังจะใช้เงินประมาณ 10-15 ล้านดอลลาร์สำหรับออกพันธบัตรสำหรับโครงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว

“เราประสบกับโศกนาฏกรรมที่สร้างความเสียหายมูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์ที่เกาะเมาอิ และเราสูญเสียผู้คนไป 102 คน เงินจำนวนนี้จะช่วยให้เราป้องกันภัยพิบัติครั้งต่อไปได้” ผู้ว่าการรัฐฮาวายกล่าวในการสัมภาษณ์

สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของรัฐ ซึ่งทั้งสองสภามีเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตจำนวนมาก ได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป รัฐฮาวายจัดเก็บภาษีการเช่าระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็น 11% แต่ละเทศมณฑลของฮาวายจะเรียกเก็บภาษีที่พักแยกกันที่ 3% และนักท่องเที่ยวยังต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตทั่วไป 4.712% สำหรับสินค้าและบริการเกือบทั้งหมดด้วย เมื่อรวมอัตราภาษีสะสมทั้งหมดจะทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม 18.712% ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีสูงที่สุดในสหรัฐเป็นอันดับ 3 รองจากเมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา มีอัตราภาษี 20.5% และ 19.3% ของเมืองซินซินแนติ รัฐโอไฮโอ 

กรีน ผู้ว่าการรัฐฮาวาย ระบุว่าว่าการปรับขึ้นภาษีนี้ไม่ได้สูงมากจนนักท่องเที่ยวสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมายังรัฐเพื่อเพลิดเพลินกับสิ่งแวดล้อม เขาจึงคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจะยินดีจ่ายเงินเพื่อปกป้องชายฝั่งและชุมชน

“ยิ่งคุณปลูกฝังนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี และยิ่งคุณลงทุนเพื่อปรับปรุงพื้นที่อยู่อาศัยของเราให้สมบูรณ์แบบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เราจะมีนักเดินทางที่มุ่งมั่นมาฮาวายตลอดชีวิต” เขากล่าวกับ Associated Press

ฮาวายต้องหารายได้สำหรับความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ที่หลากหลายของหมู่เกาะ ตั้งแต่การปกป้องแนวปะการัง การกำจัดวัชพืชที่รุกราน ไปจนถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่านักท่องเที่ยวจะไม่รังควานสัตว์ป่า เช่น แมวน้ำฮาวาย อีกทั้งรัฐยังต้องรักษาเส้นทางเดินป่าขนาดใหญ่ ซึ่งหลายเส้นทางมีผู้สัญจรไปมาหนาแน่นขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกที่จะเดินป่าในช่วงวันหยุดพักร้อน

เมื่อสองปีก่อน สมาชิกรัฐสภาได้พิจารณามาตรการกำหนดให้นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าใบอนุญาตหรือบัตรผ่านรายปี เพื่อเข้าชมอุทยานและเส้นทางเดินป่าของรัฐ โดยให้นักท่องเที่ยวทุกคนจ่ายค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์ แต่ก็ถูกปัดตกไปเนื่องจากเป็นการละเมิดการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐ ที่ระบุให้พลเมืองสามารถเดินทางได้ฟรี

ลินดา อิชิยามะ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร อธิบายว่าสมาชิกรัฐสภาได้พยายามหาแนวคิดหาเงินหลาย ๆ วิธี และพบว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคือการเพิ่มภาษีที่พักชั่วคราวที่มีอยู่ 

“เพื่อความเป็นธรรม และให้แน่ใจว่าภาษีนี้ใช้กับที่พักชั่วคราวทุกประเภท ไม่ใช่แค่โรงแรมหรือ B&B เท่านั้น แต่รวมถึงเรือสำราญด้วย เพราะเงินทุนนี้มีความจำเป็นที่จะช่วยให้เราดูแลทรัพยากรธรรมชาติของเราได้อย่างแท้จริง ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าทรัพยากรเหล่านี้จะพร้อมให้ผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยวในอนาคตใช้ได้อีกหลายปี” อิชิยามะกล่าว

ขณะที่ อุตสาหกรรมโรงแรมไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็เข้าใจในการตัดสินใจนี้ โดยเจอร์รี กิ๊บสัน ประธานของ Hawaii Hotel Alliance ตัวแทนของผู้ประกอบการโรงแรมของรัฐ กล่าวว่า อุตสาหกรรมนี้รู้สึกยินดีที่สมาชิกรัฐสภาไม่ปรับขึ้นภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามที่เสนอไว้ในตอนแรก

“ฉันไม่คิดว่าจะมีใครในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่บอกว่า 'เอาล่ะ เรามาเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกันเถอะ' ไม่มีใครอยากเห็นแบบนั้นแต่ในขณะเดียวกัน รัฐของเราก็ต้องการเงิน” กิ๊บสันกล่าว แต่เขาก็กล่าวว่าการเก็บภาษีมีข้อดีคือ มีเงินทุนช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมของฮาวายสวยงามขึ้น และจะคุ้มค่าหากเป็นเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม รายได้จากภาษีที่เรียกเก็บเพิ่มขึ้นก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย โดยกลุ่มรณรงค์ Care for Aina Now พบว่ารายได้ในแต่ละปีที่ฮาวายต้องใช้จ่ายเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติมากกว่ารายได้ที่รัฐมีอยู่ถึง 561 ล้านดอลลาร์

กาวิกา ไรลีย์ สมาชิกทีมที่ปรึกษาด้านสภาพอากาศของผู้ว่าการรัฐ ใช้คำสุภาษิตของชาวฮาวายที่ว่า “คนแปลกหน้าอยู่ได้แค่วันเดียว” ซึ่งมีหมายความว่า ผู้มาเยี่ยมควรช่วยทำงานหลังจากวันแรกที่เป็นแขก เพื่ออธิบายภาษีใหม่นี้ 

“ไม่มีใครบอกว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในฮาวายจะต้องมาทำงานให้เราจริง ๆ แต่สิ่งที่เรากำลังบอกก็คือ การเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งที่รักและการแก้ปัญหาที่สำคัญ” ไรลีย์กล่าว

ค่าธรรมเนียมสีเขียวไม่ใช่กฎหมายสำคัญฉบับเดียวที่ผ่านในสมัยประชุมนี้ สมาชิกรัฐสภายังได้ผ่านกฎหมายอีก 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างกฎหมายอนุญาตให้รัฐออกกรมธรรม์ประกันภัยเชิงพาณิชย์และเฮอร์ริเคนให้กับคอนโดมิเนียมที่ไม่สามารถรับความคุ้มครองได้ ส่วนอีกฉบับหนึ่งได้ปรับกฎหมายดอกไม้ไฟที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้อัยการสามารถดำเนินคดีได้ง่ายขึ้น และยังเพิ่มโทษทางอาญาบางกรณีด้วย


ที่มา: CNNHawaii Public RadioNPRThe Guardian