ปกป้องทรัพยากรทางทะเล ต้องสร้างหุ้นส่วนทางทะเลที่เท่าเทียม

ปกป้องทรัพยากรทางทะเล ต้องสร้างหุ้นส่วนทางทะเลที่เท่าเทียม

ทะเลเป็นสมบัติร่วมของมนุษยชาติ เป็นทรัพยากรสาธารณะที่ไม่ควรตกอยู่ภายใต้การผูกขาด ไม่ว่าจะโดยกฎหมายหรืออำนาจทางเศรษฐกิจ

เพราะทะเลไม่ใช่แค่พื้นที่หาประโยชน์ แต่คือแหล่งชีวิตที่ต้องได้รับการเคารพ การปล่อยให้สิทธิในทะเลถูกบิดเบือนโดยรัฐที่ไร้วิสัยทัศน์ หรือทุนที่แสวงหากำไร โดยละเลยเสียงของชุมชน คือการทำลายทั้งระบบนิเวศและอนาคตของคนในชาติ

ทุกฝ่ายจำเป็นต้องปกป้องทะเลในฐานะที่เป็น หุ้นส่วนทางทะเล ร่วมกันอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึง การยกระดับความร่วมมือที่ไม่ใช่แค่การมีส่วนร่วมแบบผิวเผิน แต่เป็นการถือสิทธิร่วมกัน เห็นความสำคัญของกันและกัน

และรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ภาครัฐ อุทยาน นักวิชาการ และภาคเอกชน ทุกฝ่ายต้องเท่าเทียมกันและมีสิทธิเข้าถึงข้อมูล กระบวนการ และการตัดสินใจอย่างแท้จริง

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่ง กลับสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกของความไม่เท่าเทียม ที่เกิดจากโครงสร้างความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างประชาชน ภาคเอกชน และอุทยาน ซึ่งนำไปสู่ปัญหา “การจำกัดสิทธิ”

ทำให้คนบางกลุ่มมีสิทธิเหนือคนบางกลุ่มและเข้าถึงการใช้ทรัพยากรได้มากกว่า ขณะที่อีกหลายกลุ่ม โดยเฉพาะชุมชนชายฝั่งและชาวประมงพื้นบ้าน กลับถูกจำกัดสิทธิ ไม่ว่าจะด้วยข้อกฎหมาย ขั้นตอนราชการ หรือการบังคับใช้ที่ไม่เป็นธรรม

การจำกัดสิทธิเหล่านี้ปรากฏชัดในรูปแบบของข้อกฎหมายที่เข้มงวด ขั้นตอนราชการที่ซับซ้อน และการบังคับใช้ที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะปัญหา 

1.การอนุรักษ์ที่ไม่ฟังชุมชน คือการตัดขาดผู้คนที่อยู่กับธรรมชาติมาแต่เดิม โดยมองชุมชนเป็น “ผู้บุกรุก” แทนที่จะเป็น “ผู้ดูแลร่วม” ทั้งที่วิถีของชาวประมงพื้นบ้านมักสอดคล้องกับระบบนิเวศ

แต่เมื่อรัฐหรืออุทยานประกาศเขตอนุรักษ์ทะเลโดยไม่ปรึกษาชุมชน เช่น การห้ามทำประมงในบางพื้นที่โดยเด็ดขาด ทำให้ชุมชนสูญเสียแหล่งทำกิน ถูกจำกัดสิทธิ และเสี่ยงถูกดำเนินคดี

กรณีเช่นนี้สะท้อนความไม่เป็นธรรม ทำลายความเชื่อมั่น และกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งที่บ่อนทำลายเป้าหมายการอนุรักษ์ในระยะยาว 

2.การเอื้อผลประโยชน์ให้ทุนใหญ่ คือภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนในระบบการจัดการทะเลไทย ภาคเอกชนรายใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มทุนท่องเที่ยว ที่สามารถขอใช้ที่ดินชายฝั่งได้ง่ายกว่าชาวบ้าน

กรณีการให้สัมปทานสร้างรีสอร์ต ท่าเรือ หรือแม้แต่ครอบครอง “เกาะส่วนตัว” เพื่อใช้ในกิจการเชิงพาณิชย์ 

3.การขาดดุลอำนาจในนโยบายทะเล หมายถึงการตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวกับทะเล เช่น การอนุรักษ์ การพัฒนา หรือการออกกฎหมาย ถูกกำหนดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น รัฐหรือทุนใหญ่ โดยไม่รับฟังเสียงชุมชนท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดนโยบายที่ไม่สมดุล ทำร้ายทั้งคนและธรรมชาติ 

เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล และเกาะพีพี จังหวัดกระบี่ คือภาพตัวอย่างการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ไร้การควบคุม แม้จะประกาศเขตอุทยานฯ แต่การบังคับใช้กฎหมายกลับไม่รัดกุม การพัฒนาที่ขาดความยั่งยืน ส่งผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบ

ส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง และแหล่งทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้านสูญหาย ทะเลถูกมองเป็นแค่ ‘พื้นที่เศรษฐกิจ’ โดยละเลยสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม และคุณค่าทางระบบนิเวศ

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ คือการจัดตั้ง “ระบบกำกับและควบคุมการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเล” ที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และเปิดให้มีส่วนร่วมจากหลากหลายภาคส่วน ซึ่งประกอบด้วยนักอนุรักษ์ ชุมชน และนักวิชาการ

ระบบนี้จะทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้หน่วยงานรัฐหรือเอกชนดำเนินกิจกรรมในทะเล มีการกลั่นกรอง คัดค้าน และยับยั้งโครงการที่อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศหรือวิถีชีวิตของชุมชน

ไม่ปล่อยให้ภาครัฐตัดสินใจฝ่ายเดียว เช่น การสร้างท่าเรือ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์อื่น ๆ 

ระบบนี้ต้องมี การออกแบบการมีส่วนร่วมที่ดี คือ ไม่ใช่แค่การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างผิวเผิน แต่เป็นการมีส่วนร่วมในเชิงโครงสร้าง ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจน มีเวลาในการพิจารณาอย่างเพียงพอ

สิทธิในการเสนอแนะหรือคัดค้านอย่างมีผลผูกพัน และบทบาทที่เท่าเทียมในการตัดสินใจ โดยเฉพาะในโครงการที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายระบบนิเวศ หรือกระทบต่อชุมชนดั้งเดิมที่พึ่งพาทรัพยากรเหล่านี้

กรณีโครงการ Sea You Strong โดย ทราย สิรณัฐ สก๊อต เป็นตัวอย่างของความพยายามสร้าง “หุ้นส่วนทางทะเล” ผ่านการประสานระหว่างนักอนุรักษ์กับชุมชนท้องถิ่น

แต่ความตั้งใจนี้กลับต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากระบบราชการที่ล่าช้า ไร้ความโปร่งใส และขาดการบังคับใช้กฎหมาย 

หน่วยงานรัฐที่ควรทำหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะกลับเพิกเฉยต่อข้อกฎหมาย ปล่อยให้ภาคธุรกิจบางกลุ่มดำเนินกิจการโดยฝ่าฝืนกฎหมายและไม่มีการตรวจสอบที่เหมาะสม ทั้งที่มีหลักฐานปัญหามลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศอย่างชัดเจน

ภาพสะท้อนของโครงสร้างนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของประสิทธิภาพเท่านั้น แต่คืออำนาจที่บิดเบี้ยว ที่ผลักภาระให้ชุมชนท้องถิ่นต้องเผชิญกับมลพิษ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และการจัดการที่ไร้ทิศทาง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทะเลคือสมบัติร่วมที่ไม่อาจปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้การผูกขาดของรัฐหรือทุนใหญ่ หากเรายังปล่อยให้การจัดการทะเลเป็นไปอย่างไม่เท่าเทียม ทั้งชุมชนและระบบนิเวศจะเสียหายและสูญเสียมากกว่านี้ 

เราต้องยืนหยัดร่วมกันในฐานะหุ้นส่วนทางทะเล เพื่อปกป้องสิทธิของผู้ที่พึ่งพาทะเลอย่างแท้จริง และสร้างความยั่งยืนที่ไม่ให้ใครถูกกีดกันออกจากการตัดสินใจ หรือผลประโยชน์ในทรัพยากรทางทะเล.