เมื่อเด็กไทยไม่ทนโลกร้อน 'ดีค้าบ เฟสติวัล' หนุนเด็กคิดได้ ทำเป็น เพื่อโลก

เยาวชนไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายสิ่งแวดล้อม 'ดีค้าบ เฟสติวัล' เวทีสร้างพลังคนรุ่นใหม่ จัดโดย บริษัทบ้านปูฯ และมหาวิทยาลัยมหิดล เฉลิมฉลอง 20 ปี Power Green Camp พัฒนาผู้นำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม
KEY
POINTS
- ไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2030 มุ่งสู่ Carbon Neutrality ปี 2050 และ Net Zero Emission ภายในปี 2065
- เยาวชนไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายสิ่งแวดล้อม
- ดีค้าบ เฟสติวัล” เวทีสร้างพลังคนรุ่นใหม่ จัดโดย บริษัท บ้านปู และมหาวิทยาลัยมหิดล
- เฉลิมฉลอง 20 ปี Power Green Camp พัฒนาผู้นำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยกำลังเดินหน้าตาม แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ. 2564 - 2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021 - 2030) ซึ่งได้รับมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี 2030 พร้อมผลักดันเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ในปี 2065
ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะโลกร้อน เยาวชนไทย ได้รับการสนับสนุนให้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ ผ่านการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น การใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยคาร์บอนในชีวิตประจำวัน การลดขยะและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน การปลูกต้นไม้และฟื้นฟูระบบนิเวศ การใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
“ดีค้าบ เฟสติวัล” สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ
ล่าสุด ภาครัฐ ภาคธุรกิจด้านพลังงาน และภาคการศึกษา ได้ร่วมกันจัดเวที “ดีค้าบ เฟสติวัล” ส่งเสริมแนวคิดสังคมคาร์บอนต่ำ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
งานนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ดีค้าบ – The Decarb Mission ลดคาร์บอนให้โลกเย็นลง” พร้อมเฉลิมฉลอง ครบรอบ 20 ปี ของโครงการ Power Green Camp ค่ายเยาวชนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่สร้างผู้นำรุ่นใหม่ด้านความยั่งยืน
การลดคาร์บอนไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงลำพัง
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บ้านปูตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนลง 20% ภายในปี 2030 และมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ผ่านการผสานพลังงานหลากหลายรูปแบบ เพื่อพัฒนาโซลูชันพลังงานใหม่อย่างยั่งยืน รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์พลังงานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ Energy Symphonics
“เราเชื่อว่าการรักษาสมดุลด้านพลังงานคือคำตอบสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของโลก พร้อมส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมา บ้านปูได้ดำเนินการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในพอร์ตธุรกิจอย่างเป็นระบบ (Decarbonization) อาทิ การใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนควบคู่ระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) และการสนับสนุนการเดินทางและขนส่งด้วยยานยนต์ไฟฟ้า (EV Mobility)”
บ้านปูตระหนักดีว่า การขับเคลื่อนเป้าหมายการลดคาร์บอนไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา โดยเฉพาะกลุ่ม ‘คนรุ่นใหม่’
2 ทศวรรษ Power Green: ผู้นำเยาวชนสิ่งแวดล้อม
อุดมลักษณ์ โอฬาร ผู้ก่อตั้งโครงการ Power Green Camp และอดีตผู้อำนวยการสายอาวุโส-สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา Power Green Camp ได้เป็นมากกว่าค่ายเรียนวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นพัฒนาทักษะทั้ง IQ, EQ และ 7Q ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของโลกยุคใหม่
เครือข่ายเยาวชนกว่า 1,200 คน จากหลากหลายรุ่น หลายคนเติบโตเป็นกำลังสำคัญในภาควิชาการ ธุรกิจ และเทคโนโลยี เน้นพัฒนาทักษะชีวิตและมนุษยสัมพันธ์ เปลี่ยนเยาวชนจากความเขินอายในวันแรก สู่การสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ไฮไลต์สำคัญของค่าย คือ การประกวดโครงงานกลุ่มด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้เยาวชนเสนอแนวทางแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมีเหตุผล อีกหนึ่งไฮไลต์ของค่ายคือ การเลือกหัวข้อกิจกรรมที่สอดคล้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อมระดับประเทศและโลก หลายครั้งปัญหาที่หยิบยกขึ้นมากลายเป็นประเด็นสำคัญระดับประเทศหลังจากค่ายจบไม่นาน เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วม ซึ่งเกิดขึ้นจริงทันทีหลังจบค่ายในบางปี
อุดมลักษณ์ ฝากข้อคิดแก่เยาวชนว่า ในโลกของการทำงาน ไม่ใช่แค่เกรดหรือใบปริญญาเท่านั้นที่สำคัญ แต่ คือความสามารถในการนำความรู้ไปต่อยอดใช้งานจริง
“การประกวดวันนี้อาจมีรางวัล แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่เยาวชนสามารถนำสิ่งที่ได้จากค่ายไปใช้เพื่อพัฒนาชีวิตและโลกของเราได้จริง สิ่งที่น่าภูมิใจคือจิตวิญญาณแห่งความใส่ใจสิ่งแวดล้อมจากค่ายนี้ ไม่ได้จบแค่ในรุ่น แต่ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูก รุ่นหลานอย่างแท้จริง”
ไทยเดินหน้าสู่ Net Zero
ยศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือ กรมลดโลกร้อน เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ. 2564 - 2573 (NDC Action Plan on Mitigation 2021 - 2030) ซึ่งได้รับมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567
เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของไทย
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 40% ภายในปี 2030
- มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050
- บรรลุ Net Zero Emission ภายในปี 2065
ภาครัฐได้กำหนดกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 5 สาขาสำคัญ ได้แก่
- พลังงาน
- คมนาคมขนส่ง
- การจัดการของเสียชุมชนและน้ำเสียอุตสาหกรรม
- กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์
- เกษตรกรรม
รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือและกลไกสนับสนุนเพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถดำเนินงานตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายและความร่วมมือทุกภาคส่วน แม้จะต้องเผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและเงินทุน แต่กรมลดโลกร้อนยังคงมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือและส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนที่กำหนด
ทั้งนี้ การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย
- ภาครัฐ กำหนดนโยบายและมาตรการที่ชัดเจน
- ภาคเอกชน นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสนับสนุน
- สถาบันการศึกษา สร้างองค์ความรู้และพัฒนาผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม
- ประชาสังคม ขับเคลื่อนการปรับพฤติกรรมและสร้างความตระหนักรู้
โดยเฉพาะเยาวชนไทย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมในอนาคต จึงควรส่งเสริมเยาวชนสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ภาครัฐจึงเดินหน้าส่งเสริมเยาวชนให้สามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านโครงการสำคัญ เช่น
- โครงการพัฒนาเครือข่ายเด็กและเยาวชนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (CCE Children & Youth)
- โครงการอีโคสคูล (Eco-school)
สองโครงการนี้ช่วยเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ยั่งยืนของไทย
"กรมลดโลกร้อนเชื่อมั่นว่าความสำเร็จของแผนลดก๊าซเรือนกระจกต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การมีส่วนร่วมของเยาวชนเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน"
เป้าหมาย Net Zero ของไทยจึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่ทุกคนมีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นได้
3 หัวใจหลักสู่การเปลี่ยนโลก
รศ.ดร. นพพล อรุณรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวรายงานผลความสำเร็จของโครงการ พร้อมแสดงความชื่นชมในศักยภาพของเยาวชนที่เข้าร่วมในปีนี้ว่า สามารถบรรลุเป้าหมายของค่ายได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ค่าย Power Green ในปีนี้ยังคงยึดมั่นใน 3 เป้าหมายหลัก คือ
- การถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
- การพัฒนาให้เยาวชนสามารถนำความรู้ไปใช้และถ่ายทอดต่อได้ในชีวิตจริง
- การสร้างแรงบันดาลใจในการคิดค้นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พร้อมกันนี้ ท่านยังได้เน้นย้ำ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ดีกว่า” ได้แก่
- Sustainability หรือ ความยั่งยืน โดยให้เยาวชนตั้งคำถามกับทุกกิจกรรมในชีวิตว่า “สิ่งนี้ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่?” “คุ้มค่ากับทรัพยากรที่เสียไปหรือเปล่า?”
- Innovation & Technology การกล้าคิดนอกกรอบ ไม่จำกัดว่านวัตกรรมต้องจับต้องได้เท่านั้น แต่รวมถึงแนวคิดหรือพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
- Collaboration การร่วมมือระหว่างคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน หรือชุมชน เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวถึงแนวคิด “ไดลมมา (Dilomma)” ว่าเป็นการมองเห็น “ประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตน” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตในยุคสิ่งแวดล้อมเปราะบางเช่นปัจจุบัน
“เยาวชน Power Green ทั้ง 50 คนในปีนี้ คือเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง ที่จะขยายผลสู่ชุมชนและสังคมในอนาคต ค่ายนี้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง” ดร.นพพลกล่าวทิ้งท้าย
แรงบันดาลใจเยาวชนสู่ความยั่งยืน
รัฐพล สุคันธี ผู้อำนวยการสายอาวุโส – สื่อสารองค์กร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการได้ร่วมจัดค่าย Power Green Camp รุ่นที่ 20 ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษ พร้อมเน้นย้ำว่าสิ่งที่น้องๆ ได้เรียนรู้ในค่ายนี้ไม่ควรสิ้นสุดเพียงแค่วันนี้
“วันนี้เป็นเพียงจุดสิ้นสุดของค่าย แต่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเรียนรู้ หวังว่าสิ่งที่น้องๆ ได้รับจากอาจารย์ทุกท่าน จากปราชญ์ชาวบ้าน หรือจากประสบการณ์ในชุมชน จะถูกนำกลับไปใช้ในชีวิตจริง และขยายผลสู่โรงเรียน ชุมชน และสังคมรอบตัว”
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงความสำคัญของคณะกรรมการ ที่ปรึกษา และทีมงานเบื้องหลังที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะในปีที่กิจกรรมกินระยะเวลาถึง 9 วัน และยังขอบคุณน้องๆ เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 500 คน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดของค่าย
คัดเลือกเยาวชนเข้าร่วมโครงการฯ
โครงการฯ เปิดโอกาสให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ไม่จำกัดแผนการเรียน) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จากทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมโดยการจัดทำคลิปวิดีโอแนะนำตนเอง พร้อมนำเสนอแนวคิดและความเข้าใจในหัวข้อ
“ในฐานะแกนนำเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม คุณมีแนวคิดหรือวิธีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชีวิตประจำวัน ทั้งในชุมชนและกิจกรรมส่วนตัวอย่างไร?”
ในปี 2568 นี้ มีเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 50 คน จาก 45 โรงเรียน ใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ จากผู้สมัครทั้งหมด 515 คน จาก 304 โรงเรียน โดยผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แบบเข้มข้น
เริ่มต้นจากการอบรมเชิงวิชาการ เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหา ภัยคุกคาม และแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ณ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างวันที่ 26–28 เมษายน 2568 จากนั้น เยาวชนจะได้ลงพื้นที่เรียนรู้ภาคสนามในจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 29–30 เมษายน 2568 ภายใต้แนวคิดของค่ายฯ
จังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่ซึ่งมีภูมิทัศน์ธรรมชาติที่หลากหลาย เยาวชนจะได้ศึกษาความสำคัญของ ป่าไม้ในฐานะกลไกสำคัญในการดูดซับคาร์บอน ผ่านมิติต่างๆ ทั้งในเขต อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ป่าชุมชน พื้นที่เกษตรกรรมของชุมชน ตลอดจนรูปแบบของ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งล้วนสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และบทบาทของการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม – เรียนรู้สู่การปฏิบัติ
เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจปัญหาและผลกระทบจากภาวะโลกร้อนอย่างรอบด้าน ก่อนเข้าสู่กระบวนการระดมความคิดและออกแบบ โครงงานวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้ พร้อมรับ ทุนการศึกษาและเกียรติบัตร เป็นการสร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดการเรียนรู้เพื่ออนาคต
คอนเซ็ปต์สีเขียว - C-Sorb Spray ทีมชนะเลิศ
C-Sorb Spray เป็น สเปรย์ดูดซับ CO₂ ที่ประกอบด้วย ซิลิกา และ Biopolymer จากเซลลูโลส ซึ่งได้จากแกลบข้าว รวมถึง Graphene ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล
คุณสมบัติหลักของสเปรย์นี้ ได้แก่ ดูดซับ CO₂ และเปลี่ยนเป็นพลังงานหมุนเวียน ควบคุมอุณหภูมิของพื้นผิว และช่วยป้องกันแสง UV ป้องกัน PM2.5 และความชื้น
ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คอนเซ็ปต์สีเหลือง - Super Cya!
Super Cya! เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria) เป็นองค์ประกอบหลัก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากนวัตกรรม Liquid 3 นวัตกรรมนี้สามารถ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากอากาศภายนอก นำมาใช้ในกระบวนการ Photolysis ของไซยาโนแบคทีเรีย ซึ่งจะผลิต ออกซิเจน (O₂) และน้ำบริสุทธิ์ ที่สามารถนำไปใช้ในด้านพลังงานและอุปโภคบริโภค
นอกจากนี้ Super Cya! ยังสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าผ่านกระบวนการ เคมีไฟฟ้า (Electrochemical Process) พลังงานที่ผลิตได้สามารถใช้ชาร์จแบตเตอรี่ผ่านตัวเต้ารับ โดยนวัตกรรมนี้ทำงานด้วย พลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง และมีระบบ IoT ที่ช่วยตรวจสอบค่าต่าง ๆ เช่น ปริมาณน้ำบริสุทธิ์และปริมาณไฟฟ้า ผ่านเครือข่าย Wi-Fi ไปยัง Central System ทำให้สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คอนเซ็ปต์สีชมพู - คอนกรีตดูดซับคาร์บอน
แนวคิดนี้นำ กากมะพร้าวและซังข้าวโพด ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรมาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะถูกเผาทำลาย นวัตกรรมนี้นำเศษวัสดุมา ผสมกับคอนกรีต เพื่อสร้างพื้นผิวที่มีคุณสมบัติ ยืดหยุ่นและสามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นวัตกรรมนี้ช่วยลดการเผาไหม้จากภาคเกษตรกรรม และลดปริมาณ CO₂ ที่ปล่อยจาก คอนกรีตดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง
คอนเซ็ปต์สีแดง - จากท้องทะเลสู่ตู้เสื้อผ้า
อุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นหนึ่งในแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตั้งแต่กระบวนการผลิต การย้อมสี ไปจนถึงการกำจัดเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการมองเห็นศักยภาพของ สาหร่ายทะเล ซึ่งเติบโตเร็ว ดูดซับคาร์บอนได้ดี และไม่เบียดเบียนพื้นที่เกษตรบนบก
โดยการพัฒนา เส้นใยธรรมชาติจากสาหร่าย เพื่อนำมาผลิตเสื้อผ้า นวัตกรรมนี้ตั้งเป้าที่จะ ลดการปล่อยคาร์บอน จากกระบวนการผลิต พร้อมทั้งเปลี่ยน เสื้อผ้าให้เป็นเครื่องมือกักเก็บคาร์บอน ที่เราสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ถือเป็นการผสมผสานแฟชั่นเข้ากับความยั่งยืนเพื่อโลกที่ดีกว่า
คอนเซ็ปต์สีม่วง - ระบบผลิตไฟฟ้าสำรองด้วย CCUS
ระบบนี้ใช้หลักการ CCUS (Carbon Capture, Utilization and Storage) โดยนำ คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศในอาคารมากักเก็บไว้ใต้พื้นดิน แล้วนำไปผ่านกระบวนการ Electrochemical ด้วยปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox Reaction) เพื่อผลิต พลังงานไฟฟ้า ใช้เป็น ไฟฟ้าสำรองภายในอาคาร
นวัตกรรมนี้ช่วยให้การจัดการพลังงานเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากอาคารในระยะยาว







