จากฝุ่นสู่ป่า: สิงคโปร์พลิกสู่เมืองหายใจได้ | คิดอนาคต

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สิงคโปร์เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เมืองกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วแต่กลับขาดพื้นที่สีเขียว
ถนนเต็มไปด้วยฝุ่นและมลพิษ ทว่าในปี ค.ศ. 1967 ลีกวนยู ผู้นำคนแรกของประเทศได้ริเริ่มโครงการ “Garden City” ขึ้น จุดมุ่งหมายนอกจากจะปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองแล้ว ยังเป็นกลยุทธ์สร้างเมืองให้น่าอยู่และน่าลงทุน
แนวทาง “ปลูกต้นไม้ทุกที่ที่ปลูกได้” เริ่มต้นด้วยการปลูกต้นไม้ริมถนน การจัดกิจกรรมวันปลูกต้นไม้ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม และการออกกฎหมายสำคัญอย่าง Parks and Trees Act (1975) ซึ่งบังคับให้ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนจัดสรรพื้นที่สีเขียวในทุกโครงการพัฒนาเมือง
นโยบายนี้ทำให้ในปีค.ศ. 2014 สิงคโปร์มีต้นไม้ใหม่กว่า 1.4 ล้านต้น สวนสาธารณะกว่า 330 แห่ง และพื้นที่สีเขียวขยายตัวกว่า 10 เท่าจากช่วงปี 1970
เมื่อเข้าสู่ยุค 1990 สิงคโปร์ยกระดับแนวคิดเป็น “เมืองในสวน” (City in a Garden) โดยแทรกซึมธรรมชาติเข้าสู่ทุกมิติของเมือง ไม่ว่าจะเป็นตึกสูง สะพาน ทางเดิน หรือพื้นที่ริมคลอง โครงการสวนระดับแลนด์มาร์ค เช่น Gardens by the Bay
และการริเริ่ม Park Connector Network (PCN) ที่เชื่อมสวนสาธารณะเข้าด้วยกันด้วยทางเดินและจักรยานสีเขียว ทำให้เมืองมีการเชื่อมโยงทางนิเวศ (ecological connectivity) อย่างน่าสนใจ
เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2020 สิงคโปร์ได้ขยับสู่แนวคิดใหม่ “City in Nature” หรือ “เมืองในธรรมชาติ” ตามแผน Singapore Green Plan 2030 ซึ่งตั้งเป้าจะฟื้นคืนระบบนิเวศ ทั้งการเพิ่มพื้นที่ป่า 1,250 ไร่ ขยายเส้นทางธรรมชาติอีก 300 กิโลเมตร
และสร้างพื้นที่สีเขียวใหม่รวม 6,250 ไร่ภายในปีค.ศ. 2035 เพื่อให้ทุกครัวเรือนสามารถเดินถึงสวนภายใน 10 นาที เป็นการคืนธรรมชาติสู่เมือง
ความสำเร็จของสิงคโปร์เกิดจากนโยบายที่สนับสนุนและจากโครงสร้างการบริหารที่บูรณาการ NParks เป็นคณะกรรมการที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา ดูแล และประสานงานด้านพื้นที่สีเขียวทั้งระบบ ตั้งแต่สวนริมทางไปจนถึงเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ
ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นในทุกขั้นตอนของการพัฒนาเมือง เช่น เวลาสร้างทางด่วนใหม่ NParks ต้องมีส่วนร่วมในการออกแบบเพื่อรักษาต้นไม้เดิมและจัดสรรพื้นที่สีเขียวใหม่ให้สอดคล้องกับนโยบายผังเมือง
ในเชิงกฎหมายและผังเมือง สิงคโปร์ได้พัฒนาแนวทางอย่าง LUSH (Landscaping for Urban Spaces and High-Rises) ซึ่งกำหนดให้โครงการพัฒนาใหม่ต้องชดเชยพื้นที่สีเขียวที่สูญเสียไป ด้วยสวนบนอาคารหรือกำแพงเขียว
แนวคิด “Skyrise Greenery” ได้รับการผลักดันอย่างจริงจังผ่านโครงการสนับสนุนจากรัฐ เช่น Skyrise Greenery Incentive Scheme ที่ให้ทุนสูงสุด 50% กับเจ้าของอาคาร ทำให้มีสวนบนอาคารกว่า 1,206 ไร่ภายในปี ค.ศ. 2023
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น โครงการ One MillionTrees Movement ที่ตั้งเป้าปลูกต้นไม้ใหม่ 1 ล้านต้นภายในปี 2030
โดยเชิญชวนให้ประชาชน หน่วยงาน และธุรกิจร่วมกันปลูกทั่วเกาะ หรือโครงการ Community in Bloom ที่สนับสนุนสวนชุมชนและสวนผักในละแวกที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายร้อยแห่งทั่วประเทศ
ในด้านการอนุรักษ์ สิงคโปร์แม้จะเป็นประเทศขนาดเล็กแต่สามารถสงวนพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติไว้ได้ราว 4.5% ของพื้นที่ทั้งหมด รวมถึงป่าดิบชื้น เขตชุ่มน้ำ และสวนธรรมชาติรอบขอบเขตอนุรักษ์ซึ่งช่วยลดแรงกดดันจากนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังประกาศจัดตั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเล เช่น อุทยานทะเล Sisters’ Islands เพื่อปกป้องปะการังและระบบนิเวศใต้ทะเลซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการอนุรักษ์แบบองค์รวมบนบกและในทะเล
ในเชิงตัวเลข สิงคโปร์มีพื้นที่สีเขียวถึง 47% ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองเขียวที่สุดของโลก
พื้นที่สีเขียวเฉลี่ยต่อประชากรอยู่ที่ราว 66 ตารางเมตรต่อคน สูงกว่าเกณฑ์องค์การอนามัยโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่น สิงคโปร์ก็ยังสามารถรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวได้อย่างต่อเนื่อง
แม้จะมีข้อจำกัดด้านพื้นที่อย่างมาก สิงคโปร์พิสูจน์ให้เห็นว่า ความเขียวไม่จำเป็นต้องแลกมากับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตรงกันข้าม ความเขียวกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยสร้างเมืองให้น่าอยู่ มีสุขภาวะดี และน่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การผสานสิ่งแวดล้อมเข้ากับวิถีชีวิตเมืองเป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาคุณภาพชีวิต และความยั่งยืนในภาพรวมได้อย่างแท้จริง
สิงคโปร์จึงเป็นตัวอย่างที่ชาญฉลาดที่เปลี่ยนจากเมืองในสวนกลายเป็นเมืองในธรรมชาติ หลอมรวมผู้คน เศรษฐกิจ ต้นไม้ และอนาคตไว้ในผืนเดียวกัน







