ตัวเลขเปรียบเทียบ นมวัว vs. นมจากพืช อันไหนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า?

ตัวเลขเปรียบเทียบ นมวัว vs. นมจากพืช อันไหนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า?

การถกเถียงระหว่างนมวัวกับนมจากพืชจึงทวีความเข้มข้นขึ้น นมจากพืชใช้ทรัพยากรน้อยกว่าและปล่อยก๊าซน้อยกว่านมวัวอย่างชัดเจน แต่หากมองในแง่โภชนาการ นมวัวยังคงเป็นแหล่งสารอาหารที่ดี ความสมดุลระหว่างสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกนมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน

KEY

POINTS

  • ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การถกเถียงระหว่างนมวัวกับนมจากพืชจึงทวีความเข้มข้นขึ้น
  • นมจากพืช เช่น ถั่วเหลือง โอ๊ต อัลมอนด์ และถั่วลันเตา ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
  • หากมองในแง่โภชนาการ นมวัวยังคงเป็นแหล่งสารอาหารที่ดี
  • ฟาร์มวัวที่จัดการอย่างยั่งยืน และใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์สามารถลดผลกระทบได้
  • ความสมดุลระหว่างสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรมควรเป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกนมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคน

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การถกเถียงเรื่องนมวัวกับนมจากพืชก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น นมวัวเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่คู่กับมนุษย์มาหลายศตวรรษ ขณะที่นมจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ นมโอ๊ต และนมถั่วลันเตา กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า แต่นมแต่ละประเภทเปรียบเทียบกันอย่างไรในแง่ของความยั่งยืน?

สิ่งที่ควรพิจารณา

งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่านมวัวมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่านมจากพืชในหลายด้าน จุดสำคัญที่ควรพิจารณา

  • ปริมาณก๊าซเรือนกระจก: นมวัวผลิต ก๊าซเรือนกระจกมากกว่านมจากพืชถึงสามเท่า
  • การใช้น้ำ: นมวัวต้องใช้น้ำปริมาณมาก ขณะที่นมอัลมอนด์ก็ใช้น้ำสูงเช่นกัน แต่นมถั่วเหลืองใช้น้ำน้อยที่สุด
  • การใช้ที่ดิน: นมวัวต้องใช้ พื้นที่มากกว่านมถั่วเหลืองหรืออัลมอนด์ถึงแปดเท่า

การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • นมวัว ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 3.15 กิโลกรัม CO₂e ต่อนม 1 ลิตร
  • นมข้าว ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 1.18 กก. CO₂e ต่อนม 1 ลิตร
  • นมถั่วเหลือง ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 0.98 กก. CO₂e ต่อนม 1 ลิตร
  • นมโอ๊ต ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 0.9 กก. CO₂e ต่อนม 1 ลิตร
  • นมอัลมอนด์ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประมาณ 0.7 กก. CO₂e ต่อนม 1 ลิตร

การใช้น้ำ

  • นมวัว ใช้น้ำ 628.2 ลิตร ต่อนม 1 ลิตร
  • นมอัลมอนด์ ใช้น้ำ 371.46 ลิตร ต่อนม 1 ลิตร
  • นมข้าว ใช้น้ำ 269.81 ลิตร ต่อนม 1 ลิตร
  • นมโอ๊ต ใช้น้ำ 48.24 ลิตร ต่อนม 1 ลิตร
  • นมถั่วเหลือง ใช้น้ำ 27.8 ลิตร ต่อนม 1 ลิตร

การใช้พื้นที่ดิน

  • นมวัว ใช้พื้นที่ดิน 8.95 ตร.ม. ต่อนม 1 ลิตร
  • นมโอ๊ต ใช้พื้นที่ดิน 0.76 ตร.ม. ต่อนม 1 ลิตร
  • นมถั่วเหลือง ใช้พื้นที่ดิน 0.66 ตร.ม. ต่อนม 1 ลิตร
  • นมข้าว ใช้พื้นที่ดิน 0.5 ตร.ม. ต่อนม 1 ลิตร
  • นมอัลมอนด์ ใช้พื้นที่ดิน 0.34 ตร.ม. ต่อนม 1 ลิตร

การก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน

ปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชัน (Eutrophication) การเพิ่มจำนวนของสาหร่ายนำไปสู่การลดลงของออกซิเจนละลายน้ำอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจถึงระดับที่ไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ ส่งผลต่อระบบนิเวศทางน้ำและสมดุลของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ

  • นมวัว ก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน 10.65 กรัม ต่อนม 1 ลิตร
  • นมข้าว ก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน 4.69 กรัม ต่อนม 1 ลิตร
  • นมโอ๊ต ก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน 1.62 กรัม ต่อนม 1 ลิตร
  • นมอัลมอนด์ ก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน 1.5 กรัม ต่อนม 1 ลิตร
  • นมถั่วเหลือง ก่อให้เกิดยูโทรฟิเคชัน 1.06 กรัม ต่อนม 1 ลิตร

ตัวเลขเปรียบเทียบ นมวัว vs. นมจากพืช อันไหนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า?

ด้านโภชนาการ

แม้นมจากพืชจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่ก็มีความแตกต่างในเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ

  • นมวัว มีโปรตีนประมาณ 8.2 กรัม
  • นมถั่วเหลือง มีโปรตีนประมาณ 6.1 กรัม (ใกล้เคียงนมวัวที่สุด)
  • นมโอ๊ต มีโปรตีนประมาณ 2.7 กรัม
  • นมอัลมอนด์ มีโปรตีนประมาณ 1 กรัม
  • นมมะพร้าว (กะทิ) โปรตีนประมาณ 0.5 กรัม

ความท้าทายนมวัว

หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของ อุตสาหกรรมนมวัว คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การทำฟาร์มโคนมต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้ง น้ำ และ ที่ดิน เนื่องจากวัวต้องบริโภคอาหารในปริมาณมาก ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็มาจากระบบเกษตรกรรมที่ใช้ทรัพยากรสูง

นอกจากนี้ การผลิตนมวัวยังเป็นแหล่งสำคัญของ ก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ ก๊าซมีเทน ซึ่งวัวปล่อยออกมาระหว่างการย่อยอาหาร เป็นหนึ่งในก๊าซที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ฟาร์มโคนมที่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เน้น สวัสดิภาพสัตว์ และ แนวทางเกษตรฟื้นฟู (regenerative agriculture) สามารถลดผลกระทบเหล่านี้ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในแง่ของสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ นมจากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้า และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมตลอดชีวิต

หากมองจากมุมโภชนาการ นมวัว ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งสารอาหารที่ครบถ้วนที่สุด
แต่ข้อดีด้านนี้ก็มาพร้อมกับ ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม ที่สูง เว้นแต่ว่าจะมาจากฟาร์มที่มีมาตรฐานด้านจริยธรรมและความยั่งยืน

อุตสาหกรรมนมวัวในประเทศไทย

ประเทศไทยมีการเลี้ยงวัวนมกระจายอยู่ในหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา สระบุรี ลพบุรี และเชียงใหม่

การผลิตนมดิบในประเทศยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงมีการนำเข้านมผงบางส่วน

การส่งเสริมจากรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ เช่น อ.ส.ค. (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย) ช่วยให้การผลิตนมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ถั่วเหลืองกับการตัดไม้ทำลายป่า

นมถั่วเหลืองน่าเป็นห่วงหรือไม่? หลายคนอาจเคยได้ยินว่า ถั่วเหลืองเกี่ยวข้องกับการทำลายป่าในอเมซอน จึงเกิดคำถามว่า การเลือกดื่มนมถั่วเหลือง อาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมหรือเปล่า?

คำตอบคือ ไม่ต้องกังวลว่านมถั่วเหลืองจะทำลายป่า เพราะถั่วเหลืองสำหรับอาหารมนุษย์มีสัดส่วนน้อยมาก ส่วนใหญ่ของถั่วเหลืองที่ทำลายป่าถูกใช้เลี้ยงสัตว์ และถ้าเลือกนมถั่วเหลืองที่ปลูกในประเทศหรือในยุโรป ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะยิ่งต่ำ

  • กว่า 95% ของถั่วเหลืองที่ปลูกในบราซิลถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น สำหรับวัว หมู ไก่
  • มากกว่า 3 สามใน 4 ของถั่วเหลืองทั่วโลก ก็ถูกนำไปเลี้ยงสัตว์เช่นเดียวกัน
  • ส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้เพื่อผลิต อาหารสำหรับมนุษย์ เช่น นมถั่วเหลืองหรือเต้าหู้
  • อีกส่วนหนึ่งถูกแปรรูปเป็น น้ำมันถั่วเหลือง สำหรับปรุงอาหาร

แปลว่า ความต้องการนมถั่วเหลืองของผู้บริโภค ไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก ของการตัดไม้ทำลายป่า

ถั่วเหลืองที่บริโภคโดยตรงในยุโรป ส่วนใหญ่ ปลูกในยุโรปเอง ไม่ได้มาจากบราซิล และกฎหมายของสหภาพยุโรป (EU) คุมเข้มเรื่องการใช้ถั่วเหลืองดัดแปลงพันธุกรรมในอาหารมนุษย์ ถั่วเหลืองที่ปลูกในยุโรป มีผลผลิตต่อพื้นที่สูงกว่า เช่น

  • ฝรั่งเศส: 3 ตัน/เฮกตาร์
  • อิตาลี: 4 ตัน/เฮกตาร์
  • บราซิล: 2.9 ตัน/เฮกตาร์

สรุป ถั่วเหลืองในยุโรปมีประสิทธิภาพสูง และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าของอเมริกาใต้

 

 

 

อ้างอิง : Our World in Data, New York Post