สู่สังคมเน็ตซีโร : บทบันทึกการประชุม การจัดการสภาพภูมิอากาศ

สู่สังคมเน็ตซีโร : บทบันทึกการประชุม การจัดการสภาพภูมิอากาศ

บทบันทึกการประชุมว่าด้วย การจัดการสภาพภูมิอากาศและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่ส่งสารให้ทุกคนเร่งลงมือทำสังคม “เน็ตซีโร” (Net Zero)

เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (TGGS) ราชสมาคมวิศวกรรมแห่งสหราชอาณาจักรอิมพิเรียลคอลเลจลอนดอน

สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานเอกชนชั้นนำและภาคประชาสังคม

ได้จัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการจัดการสภาพภูมิอากาศและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (International Forum on Climate Action and Sustainovation) ณ รัฐสภา

การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อระดมความเห็นจากบรรดาผู้นำความคิด ผู้กำหนดนโยบาย และนักสร้างนวัตกรรม ในการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิดสังคม “เน็ตซีโร” (Net Zero) หรือสังคมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้ใกล้ศูนย์มากที่สุด พร้อมกับชดเชยการปล่อยก๊าซส่วนเกิน ซึ่งปัจจุบัน 130 ประเทศ รวมถึงไทย มีฉันทามติร่วมกันที่จะทำให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว

หากจะว่าไปเราจะเรียกว่าขณะนี้โลกอยู่ในบริบทที่ถูกเดิมพันด้วยต้นทุนที่สูงมากหรือจะเรียกว่าเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญของโลกที่อยู่บนปากขุมนรกก็ว่าได้

“นรก” ที่ว่านี้เกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงมิใช่เรื่องไกลตัวหรือจินตนาการไปเอง ย้อนไปปี 2566 ประเทศไทยก็เปิดประสบการณ์ปะทะคลื่นความร้อนแบบทุบสถิติ พร้อมอุณหภูมิที่พุ่งสูงถึง 44 องศาเซลเซียสในบางจังหวัด

สภาพอากาศที่รุนแรงทั้งรบกวนการใช้ชีวิต สร้างความเสียหายให้แก่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และก่อความตึงเครียดให้แก่ระบบสาธารณสุข

ยิ่งไปกว่านั้น สองเสาหลักเศรษฐกิจของไทยอย่างการเกษตรและการท่องเที่ยวก็หนีไม่พ้นถูกความผันผวนของอากาศเล่นงาน ทั้งระดับน้ำทะเลที่หนุนสูงขึ้นกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่ง และฝนที่ไม่ตกต้องตามฤดูกาลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรไทยที่มีถึง 30% ของแรงงานไทยทั้งหมด

เมื่อมองไปในระดับนานาชาติ องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่า แปดปีที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิที่อุ่นที่สุดและมีคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศหนาแน่นที่สุดเป็นประวัติการณ์

จนคาดกันว่า หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับผลกระทบจนสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงถึง 11% ภายในปี 2643

สหราชอาณาจักรถือเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำที่ดำเนินมาตรการเน็ตซีโรอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการประกาศแผนห้ามจำหน่ายรถยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในปี 2573 และการสร้างระบบคมนาคมที่ลดการใช้คาร์บอน

และไม่นานมานี้ ก็เพิ่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินแหล่งสุดท้ายไปเพื่อเน้นย้ำเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและการจ้างงานในอุตสาหกรรมสีเขียวอีกด้วย

ในไทยเองก็กำลังดำเนินการคล้ายกัน เมื่อปี 2564 รัฐบาลได้ริเริ่มแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) พ.ศ. 2565-2583 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในโครงสร้างพลังงานให้ได้ 30% ภายในปี 2580

ขณะที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ก็กำลังถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีสีเขียว โดยมีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนด้านความยั่งยืนให้ได้มากกว่า 1.8 ล้านล้านบาทภายในปี 2573

แนวคิด “Sustainovation” หรือ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” เป็นหัวข้อสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ แนวคิดนี้เน้นย้ำว่า การจัดการการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ได้มุ่งแต่แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยนวัตกรรมอีกด้วย

หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของแนวคิดนี้ คืออุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยที่เติบโตอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ที่นอกจากจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นกว่า 200% แล้ว ยังทำให้เกิดการจ้างงานประมาณ 2 หมื่นตำแหน่ง และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ปีละกว่า 5 หมื่นล้านบาท

อีกหนึ่งตัวอย่างน่าจับตา คือโครงการเกษตรกรรมยั่งยืน ที่นำร่องในจังหวัดนครปฐมและเชียงใหม่ ได้แสดงให้เห็นว่า การผสมผสานเทคโนโลยีอย่างโดรนเพื่อการชลประทานที่แสดงผลแม่นยำกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับติดตามพืชผล สามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 30% และเพิ่มผลผลิตได้ถึง 20%

เหล่านี้คือตัวอย่างของนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ที่ทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังผลตอบแทนทางเศรษฐกิจด้วย

การประชุมครั้งนี้นอกจากเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นแล้ว ยังเป็นพื้นที่ริเริ่มความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักวิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม

โดยมีคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฏร เป็นตัวกลาง เพื่อร่วมกันรับมือปัญหาสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งทำให้การดูแลสิ่งแวดล้อมสอดคล้องสัมพันธ์ไปกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

หนึ่งในความร่วมมือที่ริเริ่มจากการประชุมครั้งนี้คือ กรอบการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนร่วมกันระหว่าง UNDP ประเทศไทยกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการลดขยะในเขตเมืองด้วยการใช้ซ้ำ (reuse) รีไซเคิล (recycle) และออกแบบใหม่ (redesign) ให้ได้ 50% ภายในปี 2578

นอกจากนี้ องค์กรเอกชนชั้นนำ ต่างก็ให้คำมั่นว่าจะลงทุน เม็ดเงินหลายหมื่นล้านบาทในเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนสะอาด (green hydrogen) ในช่วงทศวรรษต่อไป

อีกหนึ่งช่วงเวลาสร้างแรงบันดาลใจในการประชุมครั้งนี้ คือการปรากฏตัวของนักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติแอสเตอร์และฮาร์โรว์ กรุงเทพฯ ที่ย้ำเตือนถึงผลของวิกฤติภูมิอากาศที่กระทบต่อคนทุกรุ่น

การตัดสินใจต่าง ๆ ในการประชุมครั้งนี้จึงเป็นการส่งต่ออนาคตและ ‘มรดก’ ของโลกให้แก่คนรุ่นใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ฝ่ายตั้งรับเท่านั้น กลุ่มเยาวชนอย่างเครือข่ายเยาวชนไทยเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai Young Climate Network) ที่ริเริ่มโครงการระดมเยาวชนกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศ

เพื่อเรียกร้องนโยบายด้านภูมิอากาศที่จริงจัง มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ถือเป็นตัวอย่างการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ที่พยายามแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเชิงระบบด้วย

เส้นทางสู่สังคมเน็ตซีโรยังเต็มไปด้วยความท้าทายและต้องลงทุนมหาศาล รายงานของ International Energy Agency (IEA) ประมาณการว่า หากจะสร้างสังคมเน็ตซีโรให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573

ทั่วโลกจะต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน และนวัตกรรมสีเขียว 4 ล้านล้านดอลลาร์เป็นประจำทุกปี โดยในส่วนของประเทศไทยจะต้องลงทุนประมาณ 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี

แม้จะมีอุปสรรค แต่การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะลงมือบรรลุเน็ตซีโรร่วมกัน ด้วยการผสมผสานเจตจำนง นโยบายที่เข้มแข็ง และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของทุกฝ่าย

การประชุมนานาชาติว่าด้วยการจัดการสภาพภูมิอากาศและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงงานแสดงวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการระดมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนและทุกช่วงวัย

พร้อมกับเรียกร้องส่งสารให้ทุกคนลงมือทำ รวมถึงเน้นย้ำว่าการจัดการภูมิอากาศและการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก

วิสัยทัศน์เน็ตซีโรไม่ใช่การสร้างสังคมในอุดมคติที่ห่างไกลแต่เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้จริง ซึ่งทุกฝ่ายต้องพยายามร่วมกันและดำเนินการทันที 

 

หวังว่างานประชุมครั้งนี้เป็นแสงสว่างแห่งความหวังและเครื่องเตือนใจถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราทุกคน

เราสามารถสร้างอนาคตที่นวัตกรรมมาพบกับความรับผิดชอบ ความยั่งยืนขับเคลื่อนความมั่งคั่ง และการพัฒนาเศรษฐกิจเดินไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง.