‘ทะเลแคสเปียน’ กำลังหดตัว น้ำตื้นเหลือแต่ทราย ‘แมวน้ำ’ เสี่ยงสูญพันธุ์

‘ทะเลแคสเปียน’ กำลังหดตัว น้ำตื้นเหลือแต่ทราย ‘แมวน้ำ’ เสี่ยงสูญพันธุ์

“ทะเลแคสเปียน” กำลังหดตัวลง พร้อมปล่อยฝุ่นพิษออกมา ทำลายที่อยู่อาศัยของ “แมวน้ำแคสเปียน” และเกิดความเสี่ยงต่อชุมชนชายฝั่ง

KEY

POINTS

  • ทะเลแคสเปียน” ทะเลปิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกกำลังหดตัวลง จาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่ทำให้อุณหภูมิที่สูงขึ้น จนมีน้ำระเหยมากกว่าไหลเข้า 

  • ทะเลแคสเปียนก็ยังมีแนวโน้มว่าระดับน้ำในทะเลปิดแห่งนี้จะลดลง 5-10 เมตร ซึ่งจะทำให้พื้นที่ทะเลแคสเปียนมีพื้นที่ลดลง 112,000 ตร.กม.

  • แม้ “แมวน้ำแคสเปียน” ปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเร็วไม่พอ เสี่ยงสูญพันธุ์หากทะเลแคสเปียนยังคงหดตัว

ทะเลแคสเปียน” ทะเลปิดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยขนาด 387,000 ตร.กม. ตั้งอยู่บริเวณเอเชียกลาง กินพื้นที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน อิหร่าน คาซัคสถาน รัสเซีย และเติร์กเมนิสถาน กำลังหดตัวลง จาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่ทำให้อุณหภูมิที่สูงขึ้น จนมีน้ำระเหยมากกว่าไหลเข้า เป็นอันตรายต่อ “แมวน้ำแคสเปียน” และชาวบ้านที่อยู่ริมชายฝั่ง

แม้ว่า “ภาวะโลกร้อน” จะถูกจำกัดให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เป็นไปตาม “ความตกลงปารีสแต่ทะเลแคสเปียนก็ยังมีแนวโน้มว่าระดับน้ำในทะเลปิดแห่งนี้จะลดลง 5-10 เมตร ซึ่งจะทำให้พื้นที่ทะเลแคสเปียนมีพื้นที่ลดลง 112,000 ตร.กม. แต่ถ้าหากควบคุมภาวะโลกร้อนไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้ระดับน้ำลดลงถึง 21 เมตรภายในปี 2100

ตลอดหลายพันปี ทะเลแคสเปียนมีช่วงอุณหภูมิขึ้น ๆ ลง ๆ สลับไปมา แต่ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ทะเลปิดแห่งนี้หดตัวลงเร็วขึ้นมาก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ากิจกรรมของมนุษย์มีบทบาทสำคัญ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ สร้างอ่างเก็บน้ำและเขื่อน แค่รัสเซียประเทศเดียวก็สร้างเขื่อน 40 แห่ง และกำลังพัฒนาอีก 18 แห่ง เขื่อนเหล่านี้ทำให้ปริมาณน้ำปริมาณน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลแคสเปียนลดลงอย่างต่อเนื่อง

แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยทำให้การระเหยของน้ำเพิ่มขึ้นและส่งผลให้มีฝนตกไม่สม่ำเสมอมากขึ้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลีดส์ของสหราชอาณาจักรได้ทำแผนที่ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพและโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ในภูมิภาคนี้อย่างไร เนื่องจากทะเลแคสเปียนถือเป็นแหล่งน้ำสำคัญของภูมิภาคเอเชียกลาง อีกทั้งพื้นที่สำคัญที่สุดหลายแห่งของทะเลแห่งนี้ตั้งอยู่ในน้ำตื้น จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องสายพันธุ์และชุมชนชายฝั่ง

‘ทะเลแคสเปียน’ กำลังหดตัว น้ำตื้นเหลือแต่ทราย ‘แมวน้ำ’ เสี่ยงสูญพันธุ์ ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงการหดตัวของทะเลแคสเปียน ปี 2006 กับ 2022

สัตว์น้ำในทะเลแคสเปียนกำลังจะหายไป

แมวน้ำแคสเปียน” เป็นสัตว์ที่พบได้เฉพาะในทะเลแคสเปียนที่เป็นน้ำกร่อย แม้แมวน้ำปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเร็วไม่พอ ถูกคุกคามจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ การขนส่ง และแหล่งที่อยู่อาศัยลดลง จนแมวน้ำแคสเปียนได้รับการขึ้นบัญชีว่าใกล้สูญพันธุ์โดยองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เมื่อปี 2551 

ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม แมวน้ำจะให้กำเนิดลูกขนสีขาวบนน้ำแข็งในทะเลแคสเปียนทางตอนเหนือ แต่หากระดับน้ำลดลง 5 เมตร ก็อาจทำให้พื้นที่ของแหล่งที่อยู่อาศัยนี้ลดลงถึง 81% ยิ่งจะทำให้จำนวนประชากรแมวน้ำลดลงไปอีก

อีกทั้งระดับน้ำทะเลที่ลดลงจะทำให้แมวน้ำไม่มีพื้นที่พักผ่อนบนบก แม้ว่าจะมีเกาะเพิ่มขึ้นจากระดับน้ำที่ลดลง แต่ยังไม่รู้ว่าแมวน้ำจะสามารถใช้อยู่อาศัยได้หรือไม่

‘ทะเลแคสเปียน’ กำลังหดตัว น้ำตื้นเหลือแต่ทราย ‘แมวน้ำ’ เสี่ยงสูญพันธุ์
แมวน้ำแคสเปียน
เครดิตภาพ: Caspian Seal Research and Rehabilitation Center

แมวน้ำแคสเปียนไม่ใช่สายพันธุ์เดียวที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของระดับน้ำทะเลแคสเปียน สัตว์สายพันธุ์อื่นอีกหลายชนิดยังคงตกอยู่ในอันตรายและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก

ครั้งหนึ่งแอ่งแคสเปียนเคยเป็นที่อยู่อาศัยของปลาสเตอร์เจียน ซึ่งเป็นปลาในวงศ์โบราณขนาดใหญ่หลากหลายสายพันธุ์มากที่สุดในโลก แต่ในปัจจุบันปลาสเตอร์เจียนแคสเปียนทั้ง 5 สายพันธุ์ที่วางไข่ในทะเลแคสเปียนล้วนอยู่ในข่ายใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง เนื่องจากปัญหาการประมงเกินขีดจำกัด เพื่อเอาเนื้อและไข่ไปทำไข่ปลาคาเวียร์

ปัจจุบัน ปลาสเตอร์เจียนที่อาศัยอยู่ในบริเวณน้ำตื้นในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงอาจมีขนาดเล็กลงได้ถึง 45% ซึ่งอาจทำให้ปลาไม่สามารถว่ายไปยังแหล่งวางไข่ในแม่น้ำโวลก้า แม่น้ำอูราล และแม่น้ำสายอื่น ๆ ได้

นอกจากนี้ ทะเลแคสเปียนยังเป็นเส้นทางอพยพและแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของนกอพยพระหว่างยุโรป เอเชีย และแอฟริกา นกเหล่านี้อาศัยทะเลสาบชายฝั่งและดงกกเพื่อพักผ่อน หลบภัย และอาหารระหว่างการอพยพ แต่ถ้าระดับน้ำลดลงไปแหล่งที่อยู่อาศัยนี้อาจสูญหายไป

หากระดับน้ำลดลง 10 เมตร จะทำให้ระบบนิเวศ 4 รูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะของทะเลแคสเปียนสูญสิ้น นอกจากนี้เขตคุ้มครองทางทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพจะหายไปเกือบหมด ยกเว้นพื้นที่บางส่วนในคาซัคสถาน

 

ผลกระทบต่อมนุษย์

ผู้คนมากกว่า 15 ล้านคนอาศัยอยู่ตามชายฝั่งของประเทศต่าง ๆ ในทะเลแคสเปียนทั้ง 5 ประเทศ โดยพวกเขาพึ่งพาทะเลในการประมง การเดินเรือ และการค้า แต่หากระดับน้ำลดลง ผลการศึกษาพบว่า ชุมชน ท่าเรือ และโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลแคสเปียนบางแห่งอาจอยู่ห่างจากชายฝั่งใหม่ 

ตัวอย่างเช่น ท่าเรือในบากู (อาเซอร์ไบจาน) อันซาลี (อิหร่าน) และอักเตา (คาซัคสถาน) คาดว่าจะมีระยะทางถึงชายฝั่งเพิ่มขึ้น 1 กม. หรือมากกว่านั้น ในขณะที่เติร์กเมนบาชี (เติร์กเมนิสถาน) อาจอยู่ห่างจากชายฝั่งถึง 16 กม. ส่วนลากัน (รัสเซีย) อาจห่างจากทะเลแคสเปียนถึง 115 กม. 

งานวิจัยพบว่า ชุมชนชายฝั่งทางตอนเหนือน่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากรายได้จากการประมงหายไป และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลเสียทางเศรษฐกิจสองต่อ ทั้งจากการสูญเสียน้ำจากทะเลแคสเปียนจะส่งผลต่อสภาพอากาศในภูมิภาค ขณะเดียวกันฝนตกน้อยลงทั่วเอเชียกลาง ส่งผลให้ทำเกษตรยากขึ้น

เมื่อพื้นทะเลแห้งแล้ว ฝุ่นที่ปนเปื้อนสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและเกลืออาจปล่อยออกมา ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งคล้ายกับเหตุพายุฝุ่นเค็มที่ขึ้นกับทะเลอารัลจนทำให้คนป่วย

“ดูเหมือนว่าระดับน้ำทะเลแคสเปียนจะลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกก็ตาม เราควรหาวิธีปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพไปพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์และความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์” ดร.ไซมอน กูดแมนจากคณะชีววิทยา มหาวิทยาลัยลีดส์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลงานวิจัยกล่าว

อิลฮัม อาลีเยฟ ประธานาธิบดีของอาเซอร์ไบจาน กล่าวว่าการเสื่อมโทรมของทะเลแคสเปียนเป็น “หายนะ” และกลายเป็นภัยพิบัติทางระบบนิเวศ

ทะเลแคสเปียนตั้งอยู่ในภูมิภาคที่ประสบกับความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างมาก และกินอาณาเขต 5 ประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะประสบกับความเสื่อมถอยในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นทุกประเทศต้องช่วยกันฟื้นฟูทะเลแคสเปียน มิเช่นนั้นอาจจะหดตัวเล็กลงซ้ำรอยทะเลอารัลได้


ที่มา: CNNEarthEuro NewsSci Tech Daily