เปิดตัว ‘เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก’ ใช้ขนส่ง ‘ใบพัดกังหันลม’

“WindRunner” เครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ขน “ใบพัดกังหันลม” ที่ใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ
KEY
POINTS
-
“WindRunner” เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยความยาว 356 ฟุตและสูง 79 ฟุต ยาวกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 747-400F ถึง 239%
-
เครื่องบิน WindRunner จะเป็นเครื่องบินลำแรกที่จะช่วยแก้ปัญหาทางด้านการขนส่งและช่วยให้เคลื่อนย้ายกังหันลมขนาดยักษ์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
-
ก่อนหน้านี้การเคลื่อนย้ายใบพัดกังหันลมเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ผลิต เพราะอุโมงค์ที่มีอยู่แคบเกินไป สะพานสูงไม่พอ และถนนก็แคบเกินไปที่จะเลี้ยวได้ ทำให้การจราจรติดขัดขณะเคลื่อนย้าย หรือต้องปิดถนน
เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วที่บริษัทพลังงาน Radia ของสหรัฐ พยายามสร้าง “WindRunner” เครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งสามารถขนสินค้ามากกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 747 ถึงสิบเท่า และช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมพลังงานลมได้
Radia ตั้งเป้าจะเปิดตัว WindRunner เครื่องบินที่มีความยาว 356 ฟุตและสูง 79 ฟุต ก่อนสิ้นทศวรรษนี้ เพื่อนำมาใช้เคลื่อนย้าย “กังหันลม” ขนาดใหญ่ที่มีขนาด 341 ฟุต ทำให้เครื่องบินลำนี้ยาวกว่าเครื่องบินโบอิ้ง 747-400F ถึง 239% ใหญ่กว่าเครื่องบินบรรทุกทหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึง 80 เท่า
นอกเหนือจากการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมพลังงานลมแล้ว นอกจากนี้เครื่องบินลำนี้ยังสามารถใช้ช่วยเหลือกองทัพหรือธุรกิจอื่น ๆ ที่ต้องการขนย้ายสิ่งก่อสร้างหรือนวัตกรรมขนาดใหญ่ได้อีกด้วย
กังหันลมขนาดใหญ่มีข้อได้เปรียบสำคัญ คือ กังหันลมสามารถทำงานด้วยความเร็วต่ำได้ ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถติดตั้งกังหันลมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศได้มากขึ้น อีกทั้งใบพัดที่ยาวขึ้นยังรับลมได้มากขึ้นอีกด้วย
แต่ปัญหาสำคัญของกังหันลมขนาดใหญ่ คือ การเคลื่อนย้ายไปติดตั้ง ผู้ผลิตประสบปัญหาในการขนส่งใบพัดที่มีความยาว 230 ฟุต เพราะอุโมงค์ที่มีอยู่แคบเกินไป สะพานสูงไม่พอ และถนนก็แคบเกินไปที่จะเลี้ยวได้ เมื่อต้องขนย้ายชิ้นส่วนขนาดใหญ่เหล่านี้ อาจทำให้การจราจรติดขัดขณะเคลื่อนย้าย หรือต้องปิดถนน
บางครั้งต้องขับรถผ่านพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงถนนในชนบทที่แคบ และต้องมีตำรวจคุ้มกันเนื่องจากยานพาหนะที่กว้างและบรรทุกของหนัก ทำให้ผู้พัฒนาบางรายต้องสร้างถนนโดยเฉพาะสำหรับโครงการพลังงานลม
เครดิตภาพ: Radia
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตก็ยังไม่สามารถผลิตใบพัดกังหันลมแบบแยกประกอบชิ้นส่วนได้ อีกทั้งใบพัดแยกส่วนมีความเสี่ยงที่จะใช้งานไม่ได้มากกว่าใบพัดใบเดียว ขณะเดียวกันการสร้างใบพัดแยกส่วนจะใช้ส่วนประกอบเพิ่มมากขึ้น โดยใบพัดแบบใบเดียวจะมีลักษณะแคบและเรียวกว่า ใช้พื้นที่ใบพัดรวมน้อยกว่า 14-16% ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพสุทธิลดลง 3-8%
ครั้นจะไปผลิตใบพัดในสถานที่จริงก็ทำไม่ได้ เพราะการสร้างกังหันลมต้องทำในโรงงานที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงและควบคุมได้ รวมถึงคนงานที่มีทักษะสูงเพื่อให้ผลิตได้อย่างแม่นยำ
ปัจจุบันกังหันลมมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะยิ่งสร้างปัญหาให้การขนส่งต่อไปอีก ตามข้อมูลของ Radia ระบุว่า ใบพัดของกังหันลมบางใบสามารถกางออกได้ประมาณ 230 ฟุต และคาดว่าจะขยายได้ถึงมากกว่า 330 ฟุตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครนขนาดใหญ่ในการก่อสร้าง แต่ด้วยความใหญ่โตของมันก็อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากคนในท้องถิ่นได้อีกด้วย
ดังนั้น เครื่องบิน WindRunner จะเป็นเครื่องบินลำแรกที่จะช่วยแก้ปัญหาทางด้านการขนส่งและช่วยให้เคลื่อนย้ายกังหันลมขนาดยักษ์ ซึ่งจะช่วยให้ฟาร์มกังหันลมมีต้นทุนที่คุ้มค่ามากขึ้น
ก่อนที่ Radia จะตัดสินใจสร้างเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อขนย้ายใบพัดกังหันลมโดยเฉพาะ บริษัทได้ลองหาโซลูชันการขนส่งทางอากาศที่มีอยู่ในปัจจุบันหลายทาง ไม่ว่าจะเป็น การดัดแปลงเครื่องบินขนส่งสินค้าก็ไม่สามารถทำได้จริง ขณะเดียวกันเรือเหาะก็ไม่สามารถขนวัตถุที่มีขนาดหนักมากได้ แถมมีความเร็วต่ำ และต้องใช้พื้นที่โล่งกว้างในการลงจอดและขึ้นบิน
บริษัทยังพิจารณาเฮลิคอปเตอร์ด้วย แต่พบว่าไม่มีความจุบรรทุกเพียงพอที่จะยกหรือลงจอดใบพัดที่มีน้ำหนักมาก และเป็นอันตรายหากเจอกับลมกระโชกแรงได้
เครดิตภาพ: Radia
WindRunner มีระบบโหลดและขนถ่ายแบบพิเศษที่จมูกเครื่องบิน เพื่อให้สามารถบังคับใบพัดออกจากประตูห้องเก็บสัมภาระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดเวลาการเคลื่อนย้ายได้
ในแง่ของประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง เครื่องบินมีเครื่องยนต์ขั้นสูง 2 เครื่องที่ทำให้สามารถทำความเร็วเดินทางได้ถึง 0.6 มัค (ประมาณ 740 กม./ชม.) ในขณะที่บรรทุกน้ำหนักบรรทุกได้สูงสุด 72,575 กก. ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปล่อยคาร์บอนของเครื่องบิน และการเปรียบเทียบกับระบบขนส่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อให้เครื่องบินลำนี้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับเครื่องบินขนส่งสินค้า บริษัทกำลังทำงานร่วมกับผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ รวมถึง Leonardo ผู้ผลิตชาวอิตาลีที่จะพัฒนาลำตัวเครื่องบิน และบริษัท Aernnova จากสเปนที่จะจัดหาปีกเครื่องบินและเสาเครื่องยนต์
เครดิตภาพ: Radia
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น เพราะ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีของสหรัฐ มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อพลังงานลม เรียกว่าเป็น “ขยะ” นอกจากนี้ทันทีที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เขาก็ออกคำสั่งฝ่ายบริหารในการจำกัดการขยายตัวของพลังงานลม และการขึ้นภาษีศุลกากรอาจทำให้ต้นทุนของอุตสาหกรรมพลังงานลมสูงขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม มาร์ก ลุนด์สตรอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Radia ระบุว่า จนถึงตอนนี้ทรัมป์ยังไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อบริษัทมากนัก พร้อมกล่าวว่า พลังงานลมจากกังหันลมขนาดใหญ่สามารถผลิตพลังงานได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ฝ่ายบริหารต้องการใช้ “ภาระฐานงาน” (Base Load) ของแหล่งพลังงานทั้งหมด ในส่วนของภาษีศุลกากร ลุนด์สตรอมกล่าวว่า เขามองไปไกลกว่าภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันมาก
“ผมเดาว่าไม่ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงอย่างไร ความไม่แน่นอนในตลาดก็จะคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นเราสามารถวางแผนเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องทำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าได้” ลุนด์สตรอมกล่าว
บริษัทหวังว่า เครื่องบินลำนี้จะสามารถพาพลังงานลมไปยังพื้นที่ห่างไกลทั่วโลก ซึ่งจะช่วยขยายขอบเขตและเพิ่มขนาดของอุตสาหกรรมพลังงานลมให้กว้างขึ้นอย่างมาก ในตอนนี้เครื่องบิน WindRunner กำลังทดสอบและจำลองสถานการณ์อย่างละเอียดในอุโมงค์ลมแล้ว คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2027
ที่มา: Euro News, The New York Times, World Economic Forum
เครดิตภาพ: Radia







