‘ยา’ ปนเปื้อนในน้ำ ‘ปลาแซลมอน’ พฤติกรรมการอพยพเปลี่ยน

มลพิษจากสารเคมีในยา สร้างปัญหาทั่วโลก ยาคลายความวิตกกังวลกำลังก่อมลพิษให้กับแหล่งน้ำ เปลี่ยนแปลงวิธีการอพยพของ “ปลาแซลมอน” แอตแลนติก
KEY
POINTS
- ปัจจุบันพบการปนเปื้อนของยาในแหล่งน้ำทุกทวีปบนโลก ไม่เว้นแม้แต่แอนตาร์กติกา
- นักวิจัยพบว่า สารเคมีในยาทำให้ปลาแซลมอนใจกล้ามากขึ้น เปลี่ยนเส้นทางอพยพไปใช้ทางที่มีความเสี่ยงมายิ่งขึ้น
- ฤทธิ์ยาอาจเข้าเปลี่ยนพฤติกรรมที่สำคัญต่อการอยู่รอด เช่น การหลีกเลี่ยงนักล่า การหาอาหาร และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารทั้งหมดในที่สุด
“มลพิษจากสารเคมีในยา” (Drug Pollution) เป็นสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะสร้างมลพิษให้แก่ “แม่น้ำ” ทั่วโลก และดูเหมือนว่าจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของสัตว์น้ำอีกด้วย หลังจากที่การศึกษาวิจัยในสวีเดนพบว่า สารเคมีในยาส่งผลต่อพฤติกรรมการอพยพของปลาแซลมอนแอตแลนติกในธรรมชาติ
ปัจจุบันพบการปนเปื้อนของยาในแหล่งน้ำทุกทวีปบนโลก ไม่เว้นแม้แต่แอนตาร์กติกา โดยพบยาที่ออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรมเกือบ 1,000 ชนิดในสภาพแวดล้อมทั่วโลก ส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพ การทำงานของระบบนิเวศ และสุขภาพของประชาชน
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science พบว่า ปลาแซลมอนป่าที่สัมผัสกับยาคลายความวิตกกังวล “ยาโคลบาแซม” (Clobazam) ซึ่งส่งผลต่อจิตประสาท จะ “ใจกล้า” มากยิ่งขึ้น มีแนวโน้มที่จะอพยพลงสู่ทะเลได้เร็วกว่า และกล้าว่ายผ่านสิ่งกีดขวางที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำได้เร็วกว่าปลาที่ไม่สัมผัสกับยา ทำให้วิธีการอพยพของปลาเปลี่ยนไป
“แม้ว่าความสำเร็จในการอพยพที่เพิ่มขึ้นอาจดูเหมือนเป็นผลดีในตอนแรก แต่การรบกวนพฤติกรรมตามธรรมชาติใด ๆ อาจส่งผลเสียที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศได้” แจ็ค แบรนด์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สวีเดน ผู้เขียนหลักของการศึกษากล่าวกับ DW
การอพยพของปลาแซลมอนเปลี่ยนไป
นักวิจัยทำการศึกษาวิจัยภาคสนามขนาดใหญ่และทดลองในห้องแล็บแบบควบคุม เพื่อศึกษาผลกระทบของยาโคลบาแซมต่อพฤติกรรมของปลาแซลมอน เนื่องจากยาชนิดนี้ตรวจพบได้อย่างกว้างขวางในแหล่งน้ำต่าง ๆ ทั่วโลก
นักวิจัยได้ฝังอุปกรณ์ติดตามระยะไกลลงในปลาแซลมอนป่า 279 ตัว พร้อมกับอุปกรณ์ฝังที่ปล่อยโคลบาซัมออกมาในปริมาณเล็กน้อยอย่างช้า ๆ โดยพวกเขาติดตามปลาแซลมอนขณะที่อพยพลงมาตามแม่น้ำในสวีเดน ผ่านเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำสองแห่งแล้วลงสู่ทะเลบอลติก พบว่าปลาแซลมอนที่ไม่ได้รับโคลบาซัมจะผ่านเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำช้ากว่าปลาที่สัมผัสกับยา
“เราสงสัยว่าการอพยพที่เปลี่ยนไปนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงพลวัตทางสังคมที่เกิดจากฤทธิ์ยาช่วยลดความวิตกกังวล และเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น” แบรนด์กล่าว
ส่วนการทดลองในห้องแล็บพบว่า โคลบาซัมเปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวของปลาแซลมอนในฝูงปลา เวลาที่พวกมันรวมตัวกันเป็นฝูง ไม่ได้เกาะกลุ่มกันแน่นเหมือนเดิม แม้ว่าจะมีนักล่าอยู่ก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ปลาแซลมอนต้องเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นในธรรมชาติ
“การเปลี่ยนเวลาอพยพอาจทำให้ปลาไปถึงทะเลในสภาพที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้พวกมันเผชิญกับนักล่าและอันตรายอื่น ๆ มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเหล่านี้อาจทำให้พลวัตของประชากรเปลี่ยนแปลงไปและอาจถึงขั้นทำลายสมดุลของระบบนิเวศได้” แบรนด์กล่าว
ทั้งนี้ การศึกษานี้ไม่ได้ระบุถึงผลกระทบของมลพิษทางยาในแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นกับประชากรปลาแซลมอนในระยะยาว ดังนั้นจึงไม่ทราบว่ามลพิษทางยาเหล่านี้ได้รับผลกระทบหรือไม่ และถ้าได้รับ จะส่งผลกระทบต่อลูกปลาแซลมอนอย่างไร หรือจะได้รับผลกระทบหรือไม่เมื่อพวกมันกลับมาที่แม่น้ำเพื่อผสมพันธุ์เมื่อโตเต็มที่
แหล่งน้ำปนเปื้อนยา
ยาเข้าสู่สิ่งแวดล้อมผ่านน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดหรือไม่ผ่านการบำบัด รวมถึงการปล่อยน้ำเสียจากปศุสัตว์หรือสัตว์สู่อากาศ โดยยาจะสะสมอยู่ในร่างกายและสมองของสัตว์น้ำเหล่านี้ จนถึงขณะนี้ นักวิจัยได้ทำการศึกษาผลกระทบของสารประกอบยาไปแล้วมากกว่า 400 ชนิด ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำเกือบ 200 สายพันธุ์
จากการทดลองในแคนาดาเมื่อปี 2006 พบว่า ปลาตัวผู้ที่สัมผัสกับเอสโตรเจนสังเคราะห์ทั่วไปที่ใช้ในยาคุมกำเนิด จะกลายเป็นปลาตัวเมีย และประชากรปลาในท้องถิ่นลดลงเกือบหมด
“มลพิษทางยาอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัตว์บกที่กินแมลงหรือปลาจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนด้วย แสดงให้เห็นว่าผลกระทบเหล่านี้อาจลุกลามไปทั่วระบบนิเวศ” แบรนด์กล่าว
การบำบัดน้ำแบบดั้งเดิมใช้ไม่ได้ในการกำจัดยา และยังทิ้งร่องรอยของสารประกอบทางเคมีเหล่านี้รั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ต่างจากวิธีการบำบัดน้ำเสียขั้นสูงบางวิธี เช่น กระบวนการกรองโดยใช้เยื่อเมมเบรน และกระบวนการออกซิเดชัน สามารถการลดการปนเปื้อนจากยาได้ แต่วิธีการเหล่านี้ยังไม่สามารถใช้ได้ในหลายส่วนของโลก เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอและมีค่าใช้จ่ายสูง
นักวิทยาศาสตร์เน้นย้ำให้ออกแบบยาด้วยการใช้ “เคมีสีเขียว” ซึ่งจะช่วยออกแบบยาที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้เร็วขึ้นในสิ่งแวดล้อมหรือเป็นพิษน้อยลงหลังการใช้งาน และลดมลพิษจากยาได้
“ในด้านนโยบาย กฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นและแนวทางการกำจัดที่ดีขึ้นสามารถช่วยจำกัดปริมาณมลพิษจากยาที่ปนเปื้อนในน้ำได้ การแก้ไขเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่หากพัฒนาและบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นโยบาย และเทคโนโลยี เราสามารถลดความเสี่ยงที่มลพิษจากยาอาจก่อให้เกิดกับสัตว์ป่าได้” แบรนด์กล่าวเสริม
ผลกระทบจากมลพิษทางยาที่มีต่อสัตว์น้ำได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย ทั้งที่สารปนเปื้อนเหล่านี้หลายชนิดสามารถเปลี่ยนการทำงานของสมองและพฤติกรรมของปลาและสัตว์อื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะฤทธิ์ยาอาจเข้าเปลี่ยนพฤติกรรมที่สำคัญต่อการอยู่รอด เช่น การหลีกเลี่ยงนักล่า การหาอาหาร และการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งอาจกระทบต่อระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารทั้งหมดในที่สุด
ที่มา: DW, Earth, The Conversation