'ปาป้า เปเปอร์' กระดาษเปลือกข้าวโพด ลดเผาไร่เชียงใหม่ ตลาดยุโรปตอบรับดี

เปลือกและซังข้าวโพดในไทยถูกทิ้งจำนวนมหาศาลและมักถูกเผา ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควัน PM2.5 ปาป้า เปเปอร์ ผลิตภัณฑ์กระดาษทางเลือก ซึ่งช่วยลดการเผาและตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- เปลือกและซังข้าวโพดในไทยถูกทิ้งจำนวนมหาศาลและมักถูกเผา ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควัน PM2.5
- ปาป้า เปเปอร์ ผลิตภัณฑ์กระดาษทางเลือก ซึ่งช่วยลดการเผาและตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
- จูงใจให้เกษตรกรเลิกเผาไร่ข้าวโพด ด้วยการเสนอราคาสำหรับการเก็บใบข้าวโพดที่ 1,000 บาท/ตัน
- ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ถึง 600% เมื่อเทียบกับกระดาษจากยูคาลิปตัส
- ย่อยสลายได้ 100% ภายใน 90 วัน
- ปลอดสารเคมี ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและดิน
- ได้รับความสนใจจากตลาดยุโรป โดยเฉพาะจากการมีมาตรการ CBAM
- สามารถวัดปริมาณคาร์บอนเครดิตได้
“เปลือกและซังข้าวโพดในประเทศไทยเหลือใช้อย่างมหาศาล ถ้าไม่มีใครลุกขึ้นมาทำอะไรกับมัน ปัญหาหมอกควันก็จะเกิดซ้ำซากทุกปี”
แนวคิดนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ SMEs “ปาป้า เปเปอร์” (Papa Paper) ที่มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ซึ่งถูกเผาทิ้งเป็นประจำทุกปีในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ที่ไม่ได้แค่ก่อให้เกิดหมอกควัน PM2.5 เท่านั้น แต่ยังทำลายสุขภาพของผู้คน และเผาทิ้งทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่ง Papa Paper เป็นเจ้าแรกที่ต่อยอดจนสามารถส่งออก และเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ
ธุรกิจไก่แช่แข็งไทยโต ซังข้าวโพดเหลือทิ้งมากขึ้น
“ธนากร สุภาษา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า มองเห็นปัญหาที่เกิดซ้ำทุกปี เขาจึงตัดสินใจนำซังข้าวโพดเหล่านี้มาแปรรูปเป็นสินค้าเยื่อกระดาษทางเลือก ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ สมุดโน้ต กล่อง และผลิตภัณฑ์กระดาษอื่นๆ ภายใต้แบรนด์ Papa Paper ที่ตั้งใจสานต่อธุรกิจเพื่อโลก
“ธุรกิจไก่แช่แข็งในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ แต่เมื่อรับซื้อเมล็ดไปแล้ว สิ่งที่เหลือคือซังข้าวโพดจำนวนมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่ถูกเผาทิ้งจนกลายเป็นภูเขาเปลือกข้าวโพด ชาวบ้านก็จำเป็นต้องเผาเพราะไม่มีทางเลือก ผมจึงเปลี่ยน ‘ขยะเกษตร’ เหล่านี้ให้กลายเป็น เยื่อกระดาษเพื่อผลิตกระดาษทางเลือก ที่ไม่เพียงช่วยลดการเผา แต่ยังตอบโจทย์ความยั่งยืนในระดับโลก”
ทำงานร่วมกับชุมชน
Papa Paper ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับชุมชน โดยเฉพาะการจูงใจเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดให้เลิกเผาไร่ เพื่อลดปัญหาหมอกควันและ PM 2.5 ซึ่งในช่วงแรกต้องใช้เวลาในการปรับทัศนคติและสร้างความเข้าใจ เพื่อให้ชาวไร่ข้าวโพดเปิดใจและร่วมมือ
การเผาไร่ข้าวโพดหลังการเก็บเกี่ยวมักเป็นวิธีที่เกษตรกรเลือกใช้เพื่อลดต้นทุนในการปรับสภาพพื้นที่เพาะปลูกใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ต้องมีแรงจูงใจที่เหมาะสม โดย Papa Paper ได้กำหนดราคาของใบข้าวโพดที่ 1,000 บาท/ตัน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนหมู่บ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ ที่เก็บรวบรวมใบข้าวโพดและจำหน่ายให้แก่โรงงานในราคาที่เกษตรกรพอใจ
จุดแข็งของ “กระดาษข้าวโพด”
กระดาษข้าวโพด Papa Paper โดดเด่นด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าทางเลือกอื่นในตลาด โดยมีจุดแข็งสำคัญคือ
- ลดการเผา ลดฝุ่น PM2.5
- ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ถึง 600% เมื่อเทียบกับกระดาษที่ทำจากเยื่อยูคาลิปตัส
- ย่อยสลายได้ 100% ภายใน 90 วัน — ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในธรรมชาติ
- ปราศจากสารเคมีตกค้าง เป็นออแกนิก ปลอดภัยต่อดินและสิ่งแวดล้อม
- ผ่านมาตรฐานสำหรับตลาดฮาลาล
- ตอบโจทย์ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
- พร้อมเข้าสู่ตลาดขายคาร์บอนเครดิตสากลทันที เมื่อกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยเอื้ออำนวย
ตลาดต่างประเทศเห็นคุณค่า
จากการเป็น OEM ให้แบรนด์ต่างประเทศมายาวนาน วันนี้บริษัทได้พัฒนาแบรนด์ของตัวเอง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่ชัดเจน โดยวางตำแหน่งแบรนด์เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานสำหรับการส่งออกลูกค้าหลักกว่า 90% อยู่ในตลาดส่งออก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป สำหรับตลาดในประเทศ เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในภาคธุรกิจโรงแรม รวมถึงผู้ที่ต้องการสินค้าสำหรับใช้ในงานตกแต่งที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
แม้ตลาดในประเทศไทยยังค่อนข้างจำกัด เพราะยังไม่มีกฎหมายควบคุมพลาสติกใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic) แต่ตลาดยุโรปกลับตอบรับอย่างดีจากกฎหมายนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ทำให้ผลิตภัณฑ์กระดาษจากข้าวโพดมีโอกาสเติบโตในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งออก ได้แก่ กระดาษแผ่น ถุง กล่องบรรจุภัณฑ์ สมุด
"เรามีฉลากคาร์บอน (Carbon Label) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product) จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสากล Papa Paper ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ต่างประเทศ เช่น Michaels Stores ในสหรัฐอเมริกา หรือร้านค้าท้องถิ่นในเยอรมนีและอิตาลี เริ่มให้แบรนด์ไทยใส่ชื่อร่วมบนบรรจุภัณฑ์แล้ว ซึ่งโรงงานของเรามีกำลังการผลิตประมาณ 100,000 ยูนิตต่อเดือน รองรับความต้องการจากทั้งตลาดในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นอกจากนั้น การไม่มีสารเคมีหรือวัตถุดิบที่ขัดต่อหลักศาสนามุสลิม ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ Papa Paper สามารถวางจำหน่ายในตลาดฮาลาลได้ทันที และเพื่อให้สามารถนำกลับไปรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ง่าย บรรจุภัณฑ์ของ Papa Paper จะไม่พิมพ์หมึกลงบนตัวกระดาษโดยตรง คนซื้อจะรู้ว่ามาจากข้าวโพด เพราะเราจะใส่ข้อมูลไว้บนแพ็กเกจรอบนอกแทน
"เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าธุรกิจจะสามารถทำรายได้ในตลาดต่างประเทศมากกว่า 400 ล้านบาท ซึ่ง 25 % ของรายได้ เราจะกระจายให้แก่ชุมชนในรูปแบบของการรับซื้อใบข้าวโพด และเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาผลิตเป็นเยื่อกระดาษเพื่อส่งออก"
ขายคาร์บอนเครดิต โอกาสที่ยังรอระบบรองรับ
แม้บริษัทจะสามารถวัดค่าคาร์บอนเครดิตได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าสู่ตลาดบังคับระดับโลกได้ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มี กฎหมายคาร์บอนที่ได้รับการยอมรับสากล
“ตอนนี้เราขายได้แค่ในตลาดสมัครใจของไทย ราคาตันละ 120 บาท แต่ในยุโรป ราคาสูงถึง 2,000–3,000 บาทต่อตัน ถ้าพระราชบัญญัตินี้มีหลักการให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก และคาร์บอนเครดิต ผ่านเมื่อไร เราพร้อมทันที”
ในปี 2024 บริษัทใช้เปลือกข้าวโพดจาก แม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 50 ตัน (ต้นทุนเพียง 250,000 บาท) แต่สามารถสร้างรายได้จากการแปรรูปได้ถึง 5 ล้านบาท พร้อมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 100 ตัน CO₂e ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าคาร์บอนเครดิตประมาณ 20,000 บาทในตลาดสมัครใจของไทย
ไม่แข่งกับ A4 แต่สร้างตลาดใหม่
“เราไม่ได้ตั้งใจทำกระดาษเพื่อแข่งกับ A4 หรือตลาดกระดาษทั่วไป เพราะตลาดนั้นเน้นปริมาณและราคาต่ำ Papa Paper จึงเลือกสร้างตลาดใหม่สำหรับลูกค้าที่ต้องการทางเลือกที่ยั่งยืน เช่น คาเฟ่ ร้านคราฟต์ แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตลาดต่างประเทศ
แม้ราคาจะสูงกว่ากระดาษทั่วไปประมาณ 100% แต่สามารถชดเชยได้ด้วยคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมและภาพลักษณ์ของแบรนด์" ธนากร กล่าว