วิกฤติปะการังฟอกขาว ครั้งประวัติศาสตร์ 84% กลายเป็นสุสานใต้น้ำ

ปัจจุบันแนวปะการังเหล่านี้กำลังกลายเป็น "สุสานใต้น้ำ" จากผลกระทบของภาวะโลกร้อน ตั้งแต่ มกราคม 2023 แนวปะการัง 84% ทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงกว่าค่าปกติ
KEY
POINTS
- แม้ครอบคลุมเพียง 1% ของพื้นที่มหาสมุทร แต่แนวปะการังเป็นที่อยู่อาศัยของกว่า 1 ใน 3 ของสิ่งมีชีวิตในทะเล และเป็นแหล่งพึ่งพิงของผู้คนกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก
- ปัจจุบันแนวปะการังเหล่านี้กำลังกลายเป็น “สุสานใต้น้ำ” จากผลกระทบของภาวะโลกร้อน
- ตั้งแต่มกราคม 2023 แนวปะการัง 84% ทั่วโลก ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงกว่าค่าปกติ
- การฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 และ ครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึง 10 ปี
- ต้องเพิ่มระดับเตือนภัยใหม่ 3 ระดับ เพื่อรับมือความร้อนรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แนวปะการังถูกขนานนามว่าเป็น "ป่าฝนแห่งท้องทะเล" เพราะแม้จะครอบคลุมพื้นที่เพียง 1% ของพื้นมหาสมุทร แต่กลับเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลกว่า 1 ใน 3 ของโลก และสนับสนุนชีวิตผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก แต่ตอนนี้ ‘บ้าน’ เหล่านั้นกำลังกลายเป็น 'สุสานใต้น้ำ'
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 เป็นต้นมา โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ เมื่อแนวปะการังมากกว่า 84% ครอบคลุมอย่างน้อย 83 ประเทศและดินแดนทั่วโลกต้องเผชิญกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเกินค่าปกติอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ได้จุดชนวนให้เกิดภาวะปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) ในวงกว้าง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นการฟอกขาวที่รุนแรงที่สุด และแพร่กระจายกว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
นี่ไม่ใช่เพียงแค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนอันน่าหวาดหวั่นถึงผลกระทบโดยตรงของ ‘ภาวะโลกร้อน’ (Global Warming) ที่กำลังกัดกร่อนระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบางและสำคัญที่สุดในโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวปะการัง ซึ่งเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตทางทะเลนับล้านชนิด และเป็นแหล่งพึ่งพิงของมนุษย์นับพันล้านชีวิต กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตขั้นรุนแรง
การฟอกขาวครั้งใหญ่ชของโลก
เหตุการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแนวปะการัง Great Barrier Reef ในออสเตรเลียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แนวปะการังในทะเลแคริบเบียน เขตน่านน้ำของมหาสมุทรอินเดีย ไปจนถึงพื้นที่ทางชายฝั่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล
ตามรายงานล่าสุดจาก International Coral Reef Initiative (ICRI) และองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) เหตุการณ์นี้นับเป็นการฟอกขาวระดับโลกครั้งที่ 4 ที่มีการบันทึกไว้ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เป็นครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบปี สะท้อนถึงความเร่งด่วนที่โลกต้องเผชิญหน้าและลงมือแก้ไขก่อนที่แนวปะการังจะกลายเป็นเพียงความทรงจำใต้ทะเล
จากข้อมูลเปรียบเทียบในอดีต พบว่าระดับความร้อนที่แนวปะการังต้องเผชิญในครั้งนี้สูงกว่าทุกครั้งก่อนหน้าอย่างชัดเจน
-
ปี 1998 : แนวปะการังฟอกขาว 21%
-
ปี 2010 : แนวปะการังฟอกขาว 37%
-
ปี 2014-2017 : แนวปะการังฟอกขาว 68%
-
ปี 2023-ปัจจุบัน : แนวปะการังฟอกขาว 84%
สาเหตุของปะการังฟอกขาว
ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้นเมื่อปะการังเกิดความเครียดจากปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จนทำให้พวกมันขับสาหร่ายขนาดเล็กที่ชื่อว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ซึ่งอาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังและเป็นแหล่งพลังงานหลักออกไป ส่งผลให้ปะการังสูญเสียสีสันสดใส กลายเป็นสีซีดหรือขาว และหากสถานการณ์ยังคงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ปะการังอาจตายได้ในที่สุด
การฟอกขาวของปะการังเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ โดยมีสาเหตุหลัก ดังนี้
- อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น
- ความเค็มของน้ำทะเลเปลี่ยนแปลง
- มลพิษทางน้ำ สารพิษจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การปล่อยน้ำเสียและการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม
- การทำลายทางกายภาพจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การตกปลาด้วยระเบิด การเก็บปะการังเพื่อการค้า หรือการเหยียบปะการังในระหว่างการดำน้ำ
- 5. การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ จากการเพิ่มขึ้นของระดับสารอาหาร เช่น ไนเตรตและฟอสเฟตในน้ำจากกิจกรรมเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ข้อเรียกร้องเร่งด่วน
หน่วยงาน Coral Reef Watch ต้องเพิ่มระดับเตือนภัยใหม่สามระดับ เพื่อรองรับความเครียดจากความร้อนที่รุนแรงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเรียกร้องให้
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน
- ยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
- เพิ่มการลงทุนในพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง
ปะการังสามารถฟื้นตัวได้หากสภาพอุณหภูมิกลับมาเป็นปกติ แต่ระยะเวลาที่แนวปะการังจะฟื้นคืนความมีชีวิตชีวานั้นอาจกินเวลาหลายสิบปี และในหลายพื้นที่ ความเสียหายครั้งนี้อาจถาวร หากมนุษยชาติไม่ดำเนินการใด ๆ อย่างเป็นรูปธรรม ปะการังทั่วโลกอาจหายไป เกือบทั้งหมดภายในปี 2100
โลกเข้าสู่จุดที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัย
ดร.เดเร็ค แมนเซลโล ผู้อำนวยการโครงการ Coral Reef Watch ขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ระบุว่า แม้แต่แนวปะการังที่เคยถูกมองว่าเป็น 'แหล่งหลบภัยสุดท้าย' จากความร้อนของมหาสมุทร ก็ไม่รอดพ้นจากการฟอกขาว
ความจริงที่ว่าแนวปะการังจำนวนมากได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้กระทั่งพื้นที่ที่เคยถือเป็นจุดปลอดภัยจากภาวะโลกร้อน เช่น ราชาอัมพัตในอินโดนีเซีย และอ่าวเอลัตในอิสราเอล เป็นสัญญาณชัดเจนว่าโลกของเราได้ก้าวเข้าสู่จุดที่ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยอีกต่อไปจากวิกฤตการฟอกขาวของปะการังและผลกระทบที่ตามมา
“แนวโน้มอันน่ากังวลนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์ในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่งถูกประกาศว่าประสบปัญหาปะการังฟอกขาว เป็นครั้งที่ 6 ในระยะเวลาเพียง 9 ปี แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางและความเร่งด่วนในการรับมือกับภัยคุกคามครั้งนี้อย่างจริงจัง”
ดร.บริตตา ชาฟเฟลเก้ จากสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย และผู้ประสานงานของเครือข่ายติดตามแนวปะการังโลก (GCRMN) เปิดเผยว่า วิกฤตการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
“แนวปะการังไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้มาก่อน การฟอกขาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแทบไม่มีเวลาหยุดพักจากการติดตามและประเมินผลกระทบ”
วิกฤตการณ์ระดับโลกในครั้งนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด นำแนวปะการังของโลกเข้าสู่น่านน้ำที่ไม่เคยถูกสำรวจมาก่อน ทั้งในแง่ทางนิเวศวิทยาและระดับความรุนแรง
สำหรับผู้ที่อุทิศชีวิตให้กับการศึกษาปกป้องแนวปะการัง — ไม่เพียงแต่ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ แต่ในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่เคียงข้างและพึ่งพาระบบนิเวศเหล่านี้ — การได้เห็นแนวปะการังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดและสะเทือนใจอย่างยิ่ง
ดร.ชาฟเฟลเก้กล่าวถึงสิ่งที่เธอเรียกว่า "ความโศกเศร้าทางระบบนิเวศ" ว่าเป็นสิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ใช้เวลายาวนานอยู่ใต้น้ำ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของปะการังอย่างใกล้ชิด และเห็นความมีชีวิตชีวาค่อยๆ จางหายไปต่อหน้า
ขณะนี้เครือข่าย GCRMN กำลังรวบรวมข้อมูลทั่วโลกเพื่อนำไปจัดทำรายงานสถานะของแนวปะการังฉบับใหม่ในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ดร.ชาฟเฟลเก้ย้ำว่า แม้แต่รายงานฉบับเต็มก็อาจไม่สามารถสะท้อนขนาดและความลึกของผลกระทบในครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์
อ้างอิง : The Guardian