พบ ‘สารเคมีตลอดกาล’ ใน ‘ไวน์’ ปนเปื้อนจากยาฆ่าแมลง-สิ่งแวดล้อม

การวิเคราะห์พบว่าไวน์ที่ผลิตหลังปี 2010 มีระดับของ “สารเคมีตลอดกาล” ในไวน์จากยุโรปเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
KEY
POINTS
- งานวิจัยพบ ไวน์มีระดับ “กรดไตรฟลูออโรอะซิติก” (TFA) ซึ่งเป็น “สารเคมีตลอดกาล” หรือ PFAS ชนิดหนึ่ง ในระดับที่สูงกว่าในน้ำดื่มถึง 100 เท่า
- ไวน์ที่ผลิตก่อนปี 1988 ไม่มีร่องรอยของสารเคมีตลอดกาลอยู่เลย ต่างจากไวน์หลังปี 2010 มีการปนเปื้อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- แหล่งที่มาหลักคือยาฆ่าแมลงที่มีสาร PFAS เนื่องจากสารเหล่านี้ถูกพ่นลงบนดินโดยตรง ปนเปื้อนลงบนพืชผล และสุดท้ายก็ลงไปอยู่ในน้ำใต้ดิน
นักวิจัยจากเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชแห่งยุโรป (PAN Europe) ทดสอบไวน์จำนวน 49 ขวด พบว่ามีระดับ “กรดไตรฟลูออโรอะซิติก” (TFA) ซึ่งเป็น “สารเคมีตลอดกาล” หรือ PFAS ชนิดหนึ่ง ในระดับที่สูงกว่าในน้ำดื่มถึง 100 เท่า
ไวน์ที่ผลิตก่อนปี 1988 ไม่มีร่องรอยของสารเคมีตลอดกาลอยู่เลย ต่างจากไวน์หลังปี 2010 มีการปนเปื้อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในไวน์ออร์แกนิกและไวน์ทั่วไป แต่ไวน์ออร์แกนิกมีสารพิษระดับต่ำกว่า
การที่ไวน์ออร์แกนิกตรวจพบสาร TFA แสดงให้ว่า มีการปนเปื้อนสารเคมีในสิ่งแวดล้อม ทั้งในน้ำฝน น้ำใต้ดิน และดินทางการเกษตร นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ไวน์ที่มีความเข้มข้นของ TFA สูงที่สุด ยังมีปริมาณยาฆ่าแมลงตกค้างสูงสุดอีกด้วย แสดงว่าเป็นยาฆ่าแมลงเป็นอีกช่องทางที่ทำให้ TFA ปนเปื้อนในไวน์ได้
สำหรับไวน์ที่ใช้ทดลอง ส่วนหนึ่งซึ่งซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตของออสเตรียจากปีที่ผลิตระหว่างปี 2021-2024 อีกส่วนมาจากห้องเก็บไวน์ของออสเตรียที่ผลิตตั้งตั้งแต่ปี 1974 ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายและอาจทำให้สารเคมีตั้งต้นของ TFA อย่างแพร่หลาย
เมื่อได้ผลการทดลองพบว่าไวน์มีระดับการปนเปื้อนของ TFA ที่สูงเกินคาด องค์กรจึงขอให้พันธมิตรทั่วทั้งยุโรปส่งตัวอย่างไวน์จากแต่ละประเทศมาทำการทดสอบเพิ่มเติม
ผลการทดสอบจากประเทศต่าง ๆ ในยุโรป 10 ประเทศ ระบุว่า ไม่พบปริมาณ TFA ในไวน์เก่า ส่วนไวน์ที่ผลิตระหว่างปี 1988-2010 มีความเข้มข้นของสารเคมีตลอดกาลในช่วง 13-21 ไมโครกรัมต่อลิตร แต่ไวน์ที่ผลิตหลังจากนั้นกลับมีสาร TFA เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 121 ไมโครกรัมต่อลิตร
รายงานระบุ ไวน์ที่มาจากออสเตรียมีสาร TFA มากที่สุดด้วยระดับ 320 ไมโครกรัมต่อลิตร ส่วนไวน์ของโครเอเชียมีระดับสาร TFA ต่ำสุดเพียง 20 ไมโครกรัมต่อลิตร
“สาร TFA ทั้งหมดที่พบในระบบระบายความร้อน และถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ในส่วนของการปนเปื้อนของน้ำใต้ดิน เรารู้ดีว่าแหล่งที่มาหลักคือยาฆ่าแมลงที่มีสาร PFAS เนื่องจากสารเหล่านี้ถูกพ่นลงบนดินโดยตรง ปนเปื้อนลงบนพืชผล และสุดท้ายก็ลงไปอยู่ในน้ำใต้ดิน” ซาโลเม รอยเนล เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายของ PAN Europe อธิบาย
โดยปรกติแล้ว ทางการไม่เคยกังวลว่ากรดไตรฟลูออโรอะซิติกจะสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่จากการศึกษาล่าสุดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพบว่า สารดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพสืบพันธุ์ ทำให้ในปี 2024 หน่วยงานกำกับดูแลสารเคมีของเยอรมนีเสนอให้จำแนก TFA ว่าเป็นพิษต่อการสืบพันธุ์ในระดับยุโรป แต่กลับมีการศึกษาถึงความเป็นพิษของสารนี้น้อยมาก
ขณะที่ การศึกษาวิจัยอีกชิ้นระบุว่าการเพิ่มขึ้นของสาร TFA ในธรรมชาติ ถือเป็น “ภัยคุกคาม” เพราะสารชนิดนี้คงอยู่ได้นาน ดังนั้นการเพิ่มขึ้นจึงสามารถส่งผลกระทบที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ต่อกระบวนการที่สำคัญของระบบโลก
“ก๊าซฟลูออรีนทั้งหมดที่เราพบในระบบระบายความร้อนของเรามีอยู่ทั่วไปและถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ในส่วนของการปนเปื้อนของน้ำใต้ดิน เรารู้ดีว่าแหล่งที่มาหลักคือยาฆ่าแมลง PFAS เนื่องจากสารเหล่านี้ถูกพ่นลงบนดินโดยตรง ปนเปื้อนพืชผล และลงเอยในน้ำใต้ดิน” รอยเนลอธิบาย
นักวิทยาศาสตร์คาดว่า TFA ที่ปลดปล่อยออกมา ส่วนใหญ่มาจากสารทำความเย็นที่มีฟลูออไรด์ที่เรียกว่า “กลุ่มก๊าซฟลูออริเนต” (Fluorinated Gases) หรือ “เอฟก๊าซ” (F-Gases) ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วโลก และ “สารกำจัดศัตรูพืช” ที่มีสารเคมีตลอดกาล และกระจุกตัวอยู่ในดินที่ทำการเกษตร
ความเข้มข้นของเอฟก๊าซเพิ่มขึ้นหลังจากที่ “พิธีสารมอนทรีออล” ในปี 1987 ระบุว่าห้ามใช้สารที่ทำลายโอโซน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน ส่วนสารกำจัดศัตรูพืช ที่มีสารเคมีตลอดกาล เริ่มแพร่หลายไปทั่วยุโรปในช่วงทศวรรษ 1990
“พิธีสารมอนทรีออลเป็นเหตุให้เกิดการใช้ก๊าซฟลูออไรด์ที่ปล่อย TFA และยังไล่เลี่ยกับการพัฒนาสารกำจัดศัตรูพืชที่มี PFAS ด้วย ดังนั้นเราจึงเห็นความสอดคล้องกันระหว่างการเพิ่มขึ้นของมลพิษ TFA อัตราการเพิ่มขึ้นของการใช้เอฟก๊าซและสารกำจัดศัตรูพืช PFAS และการปนเปื้อนสาร TFA ในไวน์” รอยเนลชี้ให้เห็น
การศึกษาวิจัยในเดือนพฤศจิกายน 2024 โดยใช้ข้อมูลภาคสนามจากเยอรมนีตอนใต้ พบว่าความเข้มข้นของ TFA ในน้ำใต้ดิน “เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” เมื่อเปรียบเทียบพื้นที่เกษตรกรรมกับการใช้ที่ดินอื่น ๆ
กาเบรียล ซิกมันด์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Wageningen ในเนเธอร์แลนด์และผู้เขียนร่วมของการศึกษานี้ กล่าวว่าสาร TFA ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ ในการกำจัดสารชนิดนี้มีต้นทุนสูง ใช้พลังงานและน้ำมาก ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าจะสามารถใช้น้ำที่ผ่านการบำบัดและปนเปื้อนได้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อมูลว่าสารกำจัดศัตรูพืชว่าสามารถสร้างสาร TFA ได้มากน้อยเท่าใด ทำให้ไม่สามารถประเมินไม่ได้ว่ามีสาร TFA ตกค้างไว้ในดินทางการเกษตรปริมาณเท่าใด เนื่องจากสารกำจัดศัตรูพืชที่สะสมอยู่สามารถย่อยสลายและปลดปล่อย TFA ได้เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น แม้ว่าจะหยุดใช้สารกำจัดศัตรูพืชเหล่านี้ทั้งหมดในตอนนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าความเข้มข้นในธรรมชาติจะลดลงทันที
PAN Europe กำลังใช้รายงานนี้เพื่อเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้ง 27 ประเทศห้ามใช้สารกำจัดศัตรูพืช PFAS
ที่มา: Euro News, Le Monde, Luxembourg Times, The Guardian