'แอร์บัส' ย้ำจุดยืน บินด้วยน้ำมันพืชใช้แล้ว–ชีวมวล ยกไทยผู้นำ SAF ในอาเซียน

'แอร์บัส' ย้ำจุดยืน บินด้วยน้ำมันพืชใช้แล้ว–ชีวมวล ยกไทยผู้นำ SAF ในอาเซียน

แอร์บัส (Airbus) ย้ำเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบินระดับโลก พร้อมยกย่องประเทศไทยในฐานะพันธมิตรสำคัญแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

KEY

POINTS

  • Airbus เดินหน้า 3 แนวทาง : เครื่องบินรุ่นใหม่เปิดตัวปี 2027 ประหยัดเชื้อเพลิง ปรับปรุงระบบจราจรทางอากาศ ใช้เชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF)
  • SAF คือ เชื้อเพลิงผลิตจากชีวมวล เช่น น้ำมันพืชใช้แล้ว เศษพืชผลทางเกษตร ขยะอินทรีย์
  • SAF ลดการปล่อย CO₂ ได้สูงถึง 80% ตลอดวงจรชีวิต
  • ไทยมีศักยภาพสูงในการผลิต SAF จากความหลากหลายของวัตถุดิบชีวภาพ
  • ไฮโดรเจน เชื้อเพลิงอนาคตของแอร์บัส เลื่อนเปิดตัวจากปี 2035
  • ก้าวต่อไป e-SAF ผลิตจาก ไฮโดรเจนสีเขียว + CO₂ จากอากาศ “คาร์บอนต่ำมาก” แทบเป็นศูนย์
  • ผลักดันไทยตั้งเป้าใช้ SAF ผสมอย่างน้อย 1% ภายในปี 2026

การเดินทางทางอากาศยังเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้คนจากหลากหลายพรมแดนและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน กัน โดยในปีที่ผ่านมามีผู้โดยสารทางอากาศทั่วโลกมากถึง 5 พันล้านคน และอุตสาหกรรมการบินมีบทบาทในการสร้างงาน สร้างความเจริญรุ่งเรือง และเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจโลก

มีส่วนในการขับเคลื่อนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมากถึง 1 ใน 3 และสนับสนุนการจ้างงานทั่วโลกกว่า 86.5 ล้านตำแหน่ง ขณะที่ในประเทศไทย อุตสาหกรรมการบินมีการจ้างงานถึงประมาณ 133,500 คน และอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนมากกว่า 7% ของ GDP ประเทศ เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย มากกว่า 80% เดินทางมาโดยทางอากาศ

อย่างไรก็ตาม ปี ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา ได้มีการจารึกไว้ว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกทั้งปีพุ่งสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นเพดานสำคัญที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีส ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการบินถูกมองว่าเป็น “อุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อยคาร์บอน” ปัจจัยที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้น

แต่วันนี้ แอร์บัส (Airbus) ได้เริ่มทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ในการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ทั้งการปรับโมเดลเครื่องบินให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเลือกใช้พลังงานสะอาด เช่น เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) และไฮโดรเจน ด้วยความพยายามและความร่วมมือกับทั่วโลก

\'แอร์บัส\' ย้ำจุดยืน บินด้วยน้ำมันพืชใช้แล้ว–ชีวมวล ยกไทยผู้นำ SAF ในอาเซียน

Airbus Industry Outreach

ล่าสุด “จูลี่ คิทเชอร์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความยั่งยืนของแอร์บัส กล่าวในงาน Airbus Industry Outreach ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทยว่า ประเทศไทยไม่เพียงเป็นลูกค้าเก่าแก่ของแอร์บัส แต่ยังมีศักยภาพสูงในการเป็นผู้นำด้านเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืนในอนาคต

“สายการบินไทยถือเป็นหนึ่งในลูกค้าที่มีความสัมพันธ์ยาวนานที่สุดกับเรา โดยความร่วมมือเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1997 รวมถึงการเป็นพันธมิตรกับสายการบินอื่น ๆ เช่น บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย และไทยเวียตเจ็ท ตลอดจนผลิตภัณฑ์ด้านการป้องกันประเทศ อวกาศ เฮลิคอปเตอร์ และศูนย์บริการซ่อมบำรุงอากาศยานในประเทศไทย ซึ่งทำให้ประเทศไทยเป็นฐานที่สำคัญของเราสำหรับภูมิภาคนี้”

อุตสาหกรรมการบินร่วมมือสู่ Net-Zero

“คิทเชอร์” ได้อธิบายถึงแนวทางที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกกำลังร่วมมือกันเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน โดยมีเป้าหมายไปสู่ Net-Zero ภายในปี ค.ศ. 2050 ซึ่งจะบรรลุผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่

  • การใช้อากาศยานรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงสูง
  • การปรับปรุงระบบบริหารจัดการการจราจรทางอากาศและการดำเนินงาน
  • การเร่งพัฒนาและใช้งานเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels – SAF) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีนัยสำคัญก่อนถึงปี ค.ศ. 2050

“เราทราบดีว่าเส้นทางนี้ไม่ง่าย และแอร์บัสทำคนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วม ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญของในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะในฐานะประธานคณะทำงานด้านการขนส่งทางอากาศของอาเซียน และภาคีของโครงการ CORSIA  (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับโลกเพื่อชดเชยและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการบินระหว่างประเทศ”

ปลูกป่าและฟื้นฟูระบบนิเวศ

“แม้จะมีความพยายามมากเพียงใด แต่ก็ยังคงมีการปล่อยคาร์บอนในระดับหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเรียกว่า ‘การปล่อยคาร์บอนส่วนที่เหลือ’ (Residual Emissions) ที่จะยังคงมีอยู่ในปีเป้าหมาย กระบวนการกำจัดคาร์บอน (Carbon Removal) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตอบโจทย์ส่วนนี้”

หนึ่งในวิธีที่ได้รับการสนับสนุนคือ การปลูกป่าและฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งไม่เพียงช่วยดูดซับคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยได้แสดงบทบาทเชิงรุกในเรื่องนี้ ด้วยการให้คำมั่นในการหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า และส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ซึ่งสามารถนำไปสู่การสร้างเครดิตคาร์บอนในระดับประเทศ

นอกจากนี้ นวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่าง Direct Air Capture (DAC) ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้สามารถดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากอากาศ และจัดเก็บไว้ในชั้นใต้ดินได้อย่างปลอดภัย ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทาง

\'แอร์บัส\' ย้ำจุดยืน บินด้วยน้ำมันพืชใช้แล้ว–ชีวมวล ยกไทยผู้นำ SAF ในอาเซียน

พลังแห่งเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม

“คิทเชอร์” กล่าวด้วยว่า หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอน คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการพัฒนาเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งไม่เพียงช่วยโลก แต่ยังช่วยสายการบินเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

เครื่องบินรุ่นใหม่ของแอร์บัสจะกำลังทดแทนเครื่องบินเก่า โดยขณะนี้แอร์บัสได้เริ่มวางรากฐานสำหรับ เครื่องบินทางเดินเดียวรุ่นใหม่ ที่คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ ค.ศ. 2027

จุดเด่นเครื่องบินรุ่นใหม่ คือ

  • ปีกใหม่ตามหลักอากาศพลศาสตร์ : ยาวขึ้น บางลง และเบากว่าเดิม
  • เทคโนโลยีเครื่องยนต์ “Open Fan” ที่เปิดเผยใบพัดหมุนได้อย่างชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนและประหยัดพลังงานมากขึ้น
  • ความสามารถในการใช้ เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) 100% โดยไม่ต้องผสมเชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยมลพิษลงได้มากถึง 20-30% เมื่อเทียบกับเครื่องบินรุ่นปัจจุบัน

SAF คืออะไร? ผลิตจากอะไร?

หนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกจับตามองอย่างมากในอุตสาหกรรมการบินก็คือ SAF (Sustainable Aviation Fuel) เพราะสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ปัจจุบันได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดจำหน่ายและเติมเชื้อเพลิงที่สนามบินทั่วโลก

SAF คือเชื้อเพลิงการบินที่ผลิตจากวัสดุเหลือใช้ทางชีวภาพ เช่น

  • น้ำมันทำอาหารที่ผ่านการใช้งานแล้ว
  • เศษซากพืชผลทางการเกษตร
  • ขยะอินทรีย์ที่ไม่ได้แข่งขันกับการผลิตอาหาร

ทั้งนี้ เชื้อเพลิงเหล่านี้จะต้องได้รับการรับรองความยั่งยืนจากโครงการ CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่ควบคุมให้ SAF ไม่สร้างผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงทางอาหาร

หนึ่งในจุดแข็งของ SAF คือ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ยถึง 80% ตลอดวงจรชีวิตของเชื้อเพลิง ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการเผาไหม้ในการบิน เมื่อเทียบกับน้ำมันเครื่องบินแบบดั้งเดิม

ปัจจุบันเครื่องบินของแอร์บัสสามารถใช้ SAF ผสมกับน้ำมันก๊าดได้ในสัดส่วน 50% และกำลังพัฒนาจนถึงขั้นสามารถใช้ SAF ได้ 100% โดยตั้งเป้าให้สำเร็จภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งจะถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของการบินยั่งยืน

ในระยะยาว SAF จะไม่หยุดอยู่แค่ของเสียทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึง SAF สังเคราะห์ ที่ผลิตจาก “ไฮโดรเจนสีเขียว” ซึ่งเกิดจากกระบวนการอิเล็กโทรไลซิสที่ใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม ร่วมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ดึงออกจากชั้นบรรยากาศ (Direct Air Capture)

การผสมผสานนี้จะช่วยสร้างเชื้อเพลิงที่ “มีคาร์บอนต่ำมาก” หรืออาจถึงขั้น “ปลอดคาร์บอนโดยสิ้นเชิง” ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปของ SAF ในการผลักดันอุตสาหกรรมการบินให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน

SAF และ ไฮโดรเจน คืออนาคตของ Airbus

“คิทเชอร์” กล่าวว่า ในระยะยาว เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จะยังคงเป็นหัวใจของแผนลดคาร์บอนในช่วงก่อนถึง ค.ศ. 2050 ขณะที่ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษนี้ เทคโนโลยีใหม่อย่าง ไฮโดรเจน จะเข้ามามีบทบาทร่วมกับ SAF ในการเป็นเชื้อเพลิงการบินที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

“เราทราบดีว่าการบรรลุเป้าหมาย Net-Zero ในอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และเราจะไม่มีวันทำสำเร็จได้เพียงลำพัง แต่ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรอย่างประเทศไทย เรามั่นใจว่าเรากำลังเดินมาถูกทาง”

แอร์บัสเผยความคืบหน้าสำคัญในการพัฒนาเครื่องบินพลังงานสะอาด โดยเน้นไปที่การใช้ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนของอุตสาหกรรมการบินในระยะยาว

แม้เดิมแอร์บัสตั้งเป้าเปิดตัวเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนลำแรกภายใต้โครงการ ZEROe ในปี ค.ศ. 2035 แต่ต้องเลื่อนแผนออกไป เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและการกระจายไฮโดรเจนทั่วโลกยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ปริมาณไฮโดรเจนอาจยังมีไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานจริง

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ใช้ช่วงเวลาที่ผ่านมาเพื่อวิจัย พัฒนา และเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีไฮโดรเจน โดยเฉพาะการเลือก ระบบขับเคลื่อนด้วยใบพัดที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องบินรุ่นใหม่นี้

"เราพร้อมแล้วสำหรับก้าวต่อไป พร้อมยืนยันว่าแผนพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างจริงจัง”

ไทยกับบทบาทผู้ผลิต SAF

ประเทศไทยกำลังเริ่มมีบทบาทสำคัญในเวทีโลก ในฐานะ "ผู้ผลิตเชื้อเพลิงการบินสะอาด" หรือ SAF ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากเครื่องบินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดแข็งของไทยคือ มีวัตถุดิบหลากหลายจากภาคเกษตร ที่สามารถนำมาผลิต SAF ได้ เช่น กากน้ำตาล ฟางข้าว แกลบ ซังข้าวโพด น้ำมันพืชใช้แล้ว และแม้แต่มูลสัตว์

ตอนนี้มีหลายโครงการในไทยที่เริ่มต้นผลิต SAF แล้ว เช่น

  • โครงการของ บางจาก ที่ใช้ น้ำมันพืชใช้แล้ว มาผลิต SAF
  • บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล ที่เริ่มผลิต SAF ด้วยเทคโนโลยีการกลั่นร่วม

เปลี่ยนเอทานอลเป็น SAF

อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญ คือการพัฒนา เทคโนโลยีเปลี่ยนเอทานอลเป็น SAF หรือ “Alcohol-to-Jet Fuel” ซึ่งไทยมีความพร้อมในด้านนี้ เพราะเรามีอุตสาหกรรมเอทานอลที่แข็งแรงอยู่แล้ว

ที่สำคัญ รัฐยังมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยลดความต้องการใช้เอทานอลในภาคขนส่ง ทำให้มีเอทานอลเหลือเพียงพอที่จะนำมาใช้ผลิต SAF ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจ เช่น การที่แอร์บัสและบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ ได้ร่วมกันศึกษาแนวทางผลิต SAF จากเศษวัสดุทางการเกษตร แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มความร่วมมือที่แข็งแรงของอุตสาหกรรม SAF ในประเทศไทย

สองความท้าทายสำคัญ

แม้ศักยภาพของประเทศไทยจะมีมาก แต่ยังมีความท้าทายที่จำเป็นต้องรับมืออย่างจริงจัง

1. การสนับสนุนเทคโนโลยีในระยะเริ่มต้น : เทคโนโลยี SAF หลายประเภท ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงทั้งด้านการลงทุนและความพร้อมของเทคโนโลยี จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบาย เพื่อให้สามารถก้าวข้ามช่วงพัฒนาแรกเริ่มได้อย่างมั่นคง

2. การศึกษาวัตถุดิบอย่างลึกซึ้ง : แม้จะมีวัตถุดิบมากมาย แต่การพัฒนา SAF อย่างยั่งยืนจำเป็นต้องเข้าใจอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องปริมาณ คุณภาพ ความสามารถในการจัดหา ต้นทุน และความยั่งยืนระยะยาว ประเทศไทยเริ่มก้าวแรกแล้ว โดยการรวบรวมข้อมูลและจัดทำแผนที่แหล่งวัตถุดิบทั่วประเทศอย่างเป็นระบบ แต่ก็ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพิ่มเติม

ผลักดันไทยใช้ SAF 1% ภายในปี 2026

แอร์บัสเชื่อมั่นว่า การพัฒนาอุตสาหกรรม SAF ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการประสานงานระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ รวมถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

โดยเฉพาะการเร่งประกาศ ยุทธศาสตร์ SAF ระดับชาติ และการตั้งเป้าหมายการผสม SAF ให้ได้อย่างน้อย 1% ภายในปี 2569 ซึ่งจะเป็นสัญญาณสำคัญที่ส่งถึงนักลงทุนและผู้ผลิตทั่วโลก

ประเทศไทยมีทุกองค์ประกอบพร้อมสำหรับการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหากสามารถพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม ไทยจะไม่เพียงเป็น “ผู้ผลิตเชื้อเพลิง” แต่ยังเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดของโลก” อย่างแท้จริง

แอร์บัสยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทย ภาคอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดัน SAF ให้เป็นอนาคตที่มั่นคงของการบินยั่งยืน