"ทราย-สิรณัฐ สก็อต" ทายาทรุ่น 4 สิงห์ ผลักดันภารกิจปกป้องทะเลไทย

สิรณัฐ สก๊อต หรือ ทราย หลงใหลภารกิจเพื่อทะเลไทย รณรงค์การอนุรักษ์ เน้นความสำคัญของการทำเพื่อส่วนรวม แม้จะไม่มีผลตอบแทน
KEY
POINTS
- สิรณัฐ “ทราย” สก็อต ลูกหลานตระกูลภิรมย์ภักดี เลือกเส้นทางการทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ปกป้องทะเลไทยอย่างจริงจัง
- นำความรู้ด้านศิลปะมาสร้างหนังสั้นเชิงอนุรักษ์ Merman – Ocean Pollution Film ที่เขารับบทเป็นมนุษย์เงือกเพื่อถ่ายทอดปัญหาขยะทะเล
- ก่อตั้ง Sea You Strong โครงการเพื่ออนุรักษ์ทะเลร่วมกับชุมชนภาคใต้
- ในปี 2567 ทรายได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ ด้วยใจอาสา
- เขาโพสต์เตือนว่า การท่องเที่ยวแบบไร้ระเบียบและมลพิษกำลังทำลายทะเลไทยอย่างรวดเร็ว
- ทรายย้ำเสมอว่า ทะเลไม่ใช่พื้นที่เล่นของนักธุรกิจ แต่เป็นชีวิตของคนรุ่นต่อไป และยังไม่สายที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันรักษาทรัพยากรของชาติ
สิรณัฐ สก็อต หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อเล่นว่า "ทราย" คือ ทายาทรุ่นที่ 4 ของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น หนุ่มลูกครึ่งไทย-สก็อตแลนด์ ผู้มีบทบาทโดดเด่นทั้งในแวดวงธุรกิจและสิ่งแวดล้อม เป็นบุตรชายของ จีรานุช ภิรมย์ภักดี กับอดีตสามีชาวสก็อต และมีพี่ชายหนึ่งคนคือ พาย–สุนิษฐ์ สก็อต เขายังมีศักดิ์เป็นหลานตาของ จำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
แต่สิ่งที่ทำให้ “ทราย” โดดเด่น ไม่ใช่แค่สายเลือดของธุรกิจใหญ่ หากคือหัวใจที่มุ่งมั่นเพื่ออนาคตของธรรมชาติ โดยเฉพาะท้องทะเลไทยที่เขารัก
คนรู้จักเขามากขึ้นในปี 2565 และเขาได้รับสมญานามว่า “อควาแมนเมืองไทย” หลังว่ายน้ำเดี่ยวข้ามทะเล ในจังหวัดกระบี่ระยะทาง 30 กิโลเมตร เพื่อปลุกกระแสอนุรักษ์ทางทะเลในระดับประเทศ
ทั้งนี้ เด็กๆ คือจุดโฟกัสของ 'ทราย' เพราะยังมีคนอีกมากที่เข้าใจว่า ทะเลคือชีวิตของรุ่นต่อไป ไม่ใช่พื้นที่เล่นของนักธุรกิจชั่วคราว
เส้นทางการศึกษาและอาชีพเพื่อส่วนรวม
แม้จะจบการศึกษามาในสายศิลปะ ‘ทราย’ เลือกใช้ความรู้ด้านภาพยนตร์และแอนิเมชันที่ได้ศึกษาจาก California Institute of the Arts (CalArts) ประเทศสหรัฐอเมริกา มาสื่อสาร “ความจริง” ที่เกิดขึ้นกับทะเลไทย ผ่านผลงานหนังสั้นเพื่อสิ่งแวดล้อมเรื่อง Merman – Ocean Pollution Film ซึ่งเขารับบทเป็น “มนุษย์เงือก” ด้วยตัวเอง
ทรายสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง หากแต่ต้องการส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า ยังมีผู้ใหญ่ในสังคมที่กล้าทำเพื่อประเทศชาติ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ นอกจากความยั่งยืนของธรรมชาติที่รัก
“Sea You Strong” — ทะเลคือชีวิต
Sea You Strong คือโครงการอนุรักษ์ทะเลที่ริเริ่มโดย 'ทราย' เน้นการสร้างวัฒนธรรมการดูแลทะเลร่วมกับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในภาคใต้ ผ่านกิจกรรมที่เข้าถึงง่ายและลงมือทำได้จริง
เป้าหมายของโครงการ
- ปลุกจิตสำนึกให้สังคมตระหนักถึงผลกระทบของขยะพลาสติกต่อระบบนิเวศทางทะเล
- สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่งในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
- รณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทะเลผ่านกิจกรรมภาคสนามและสื่อออนไลน์
หนึ่งในกิจกรรมที่ทรงพลังที่สุดของ Sea You Strong คือการ ว่ายน้ำข้ามทะเล เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการ “หยุดทำร้ายทะเล” ในปี 2566 ทรายนำทีมอาสาสมัครว่ายน้ำข้ามทะเลอันดามัน จากหาดยาว จังหวัดกระบี่ ไปยังเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา และสิ้นสุดที่ท่าเรืออ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต รวมระยะทางกว่า 50 กิโลเมตรใน 2 วัน
นอกจากการลงพื้นที่เก็บขยะชายหาดร่วมกับชุมชนแล้ว โครงการยังผลิตสื่อให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และแนวทางลดการใช้พลาสติก เพื่อจุดประกายให้คนรุ่นใหม่ร่วมเป็นพลังสำคัญในการอนุรักษ์ท้องทะเลไทยให้ยั่งยืน
บทบาทที่ปรึกษาอธิบดีกรมฯ
ในปี 2567 'ทราย' ได้รับโอกาสเข้าร่วมทำงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในบทบาท “ที่ปรึกษาอธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” โดยมิได้เรียกร้องค่าตอบแทนแม้แต่บาทเดียวตลอดระยะเวลาการทำงาน นับเป็นการทำหน้าที่ในฐานะจิตอาสาอย่างแท้จริง เพื่อขับเคลื่อนภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของไทย
ความไว้วางใจให้รับตำแหน่งเกิดขึ้นหลังจากที่ทรายว่ายน้ำข้ามเกาะร่วมทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ซึ่งสร้างความประทับใจในพลัง ความมุ่งมั่น และทัศนคติของคนรุ่นใหม่ ที่แสดงออกถึงจิตสาธารณะและเจตนารมณ์ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม จึงได้ชักชวนให้ร่วมงานในฐานะที่ปรึกษา ซึ่ง 'ทราย' ก็ตอบรับ พร้อมอุทิศเวลา ทุนส่วนตัว และความรู้ความสามารถเพื่อเป้าหมายในการอนุรักษ์ทะเลไทยอย่างยั่งยืน
'ทราย' เชื่อว่า นักอนุรักษ์ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่คือคนที่รักอะไรและไม่อยากทำร้ายสิ่งนั้น เขามุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รับเงินบริจาค และเน้นการลงมือทำจริงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้
“ผมไม่ใช่เจ้าของทะเล แต่เป็นคนที่รู้วิธีรักษาและปกป้องให้ยั่งยืน ผมกล้าที่จะทำเพื่อส่วนรวม”
เสียงที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
'ทราย' ไม่ลังเลที่จะพูดตรงๆ ต่อพฤติกรรมที่เอาเปรียบธรรมชาติ และละเลยกฎหมาย โดยเฉพาะธุรกิจที่ดำเนินกิจการในเขตอุทยานโดยไม่เคารพทรัพยากร
“อุทยานเป็นของทุกคน เราสมควรดำเนินธุรกิจในทางที่รักษาสิ่งแวดล้อมให้กับส่วนรวมและรุ่นต่อๆ ไม่ใช่ทำลายเพื่อกระเป๋าตังส่วนตัว ผมนึกว่าทุกคนอยากรักษาทรัพยากรให้ยั่งยืน? แต่เห็นชัดมาก ถ้าผมหรือใครๆ ตักเตือนให้รักษากฎ หลายๆ คนร้อนตัว”
นี่คือการยืนหยัดของคนที่เชื่อว่า “ธรรมชาติควรได้รับความยุติธรรม” เท่าๆ กับสังคมมนุษย์
'ทราย' เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการปกป้องทะเลไทย ทั้งผ่านโซเชียลมีเดียและการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
นอกจากนี้ เขายังกล้าพูดแทนเจ้าหน้าที่แนวหน้า ด้วยการสะท้อนปัญหาค่าตอบแทนที่น้อยเกินไปและการขาดสวัสดิการพื้นฐานอย่างประกันชีวิต ทั้งที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตรายสูง — เพื่อปกป้องทรัพยากรของชาติอย่างไม่มีเงื่อนไข
คุณธรรม ความรักชาติ และความกล้า
'ทราย' ได้พบเห็นเหตุการณ์การละเมิดกฎในเขตอุทยานแห่งชาติ เช่น การดื่มสุราและสูบกัญชาในพื้นที่หาดนพรัตน์ธารา จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เขาได้ตักเตือนผู้กระทำผิด
“ผมโชคดีที่เกิดมาเป็นคนไทยและรักความเป็นไทย แต่สมัยนี้หลายคนลืมความหมายของความเป็นไทยไปแล้ว... การเป็นคนดีไม่ขึ้นอยู่กับโอกาสหรือเงิน แต่มันขึ้นอยู่กับการกระทำล้วนๆ"
ทรายไม่ใช่เพียงคนรุ่นใหม่ที่พูดดีหน้ากล้อง แต่คือผู้ลงมือจริงเพื่อปกป้องสิ่งที่ไม่มีเสียง — ธรรมชาติ
เมื่อธรรมชาติร้องไห้: แนวปะการังกลายเป็นสุสาน
'ทราย' โพสต์ภาพแนวปะการังที่ตายเกลื่อน พร้อมคำอธิบายบนเพจ เฟสบุ๊ค ทราย - Merman Ψ ของเขาว่า “แนวปะการังน้ำตื้นของกระบี่ได้ตายไปเกือบ 80% ไม่ใช่แค่ฟอกขาว แต่มัน ‘ตาย’ ไปจริงๆ... ปะการังกลุ่มนี้ใช้เวลาร้อยกว่าปีในการเติบโต แต่พังพินาศในปีเดียวเพราะฝีมือมนุษย์ ทีนี้จุดพวกนี้อาจจะยังเป็นที่รองรับปะการังรุ่นใหม่ได้ ถ้าเราให้โอกาสเขาโตโดยไม่รบกวน... แต่สมอ เรือ น้ำมัน ยากันแดด มลพิษ รวมถึงแบคทีเรียจากมนุษย์ ล้วนกระทบปะการังทั้งนั้น”
เขาสะท้อนว่า การท่องเที่ยวที่ไร้ระเบียบและไม่มีความรับผิดชอบนั้น ไม่ใช่แค่ทำลายทิวทัศน์ แต่คือการ ทำลายแหล่งอาหารและอนาคตของทั้งชุมชนที่อาศัยทะเล
“อนาคตที่เรากลัวมันมาถึงแล้ว ถ้าวงการท่องเที่ยวและวงการทะเลไม่ร่วมมือกันรักษาแนวปะการัง... ผมสัญญาเลย คุณอาจต้องเตรียมหาอาชีพใหม่ เพราะมันจะไม่เหลืออะไรให้ใครอีกแล้ว”
กระแสและแรงกดดัน
ทราย และเจ้าหน้าที่แนวหน้าที่ดูแลทะเล เผชิญกับกระแสและแรงกดดันจากหลายฝ่าย ทำให้ 'ทราย' ตัดสินใจอย่างไม่เป็นทางการที่จะถอนตัวจากตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เขาระบุผ่านเฟสบุ๊ค ทราย - Merman Ψ ว่า
ตนเลือกที่จะเสียสละงานและตำแหน่งที่รัก เพื่อโอกาสที่จะสะท้อนเรื่องจริงของปัญหาทะเลทางภาคใต้ เหนือกว่าตำแหน่ง คือความรักที่ทรายมีต่อทะเล ขอบคุณสำหรับทุกประสบการณ์ และเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่เสมอ
"ทรายไม่อยากให้อธิบดีกังวลหรือรู้สึกอึดอัด ทรายไม่ได้รู้สึกไม่ดีนะครับถ้าอธิบดีจะถอนทรายจากตำแหน่ง ทรายได้ทำเต็มหน้าที่และดีใจที่สังคมเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ทรายได้ทำร่วมกับอุทยาน"
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเหตุการณ์ที่กลายเป็นที่พูดถึงในสังคม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกมาชี้แจงว่า
“ยังไม่มีคำสั่งปลดหรือให้ทรายพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาแต่อย่างใด เพราะเห็นถึงความตั้งใจจริงในการทำงานของเขา เพียงแต่ในเรื่องของ ‘วิธีการ’ อาจจำเป็นต้องมีการปรับให้เหมาะสม”
การออกมาสนับสนุนของอธิบดีในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า แม้มีความตั้งใจอาจต้องเดินควบคู่ไปกับการปรับแนวทางใหม่ที่เหมาะสม แต่เสียงที่กล้าพูดเพื่อสิ่งแวดล้อมก็ยังคงได้รับการรับฟัง และมีพื้นที่ในการทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ต่อไป
บทสรุป : รักษาทะเลด้วยหัวใจ
สิรณัฐ สก็อต อาจเป็นทายาทของตระกูลนักธุรกิจใหญ่ แต่เขาเลือกเดินอีกเส้นทางควบคู่ไป — เส้นทางของ “ผู้ปกป้องทะเลไทย” ด้วยแรงศรัทธา ความกล้า และความรักในผืนแผ่นดินและสายน้ำของประเทศนี้
ในยุคที่ความดีต้องต่อสู้กับผลประโยชน์ ทรายคือแบบอย่างของคนที่ยืนหยัดเพื่ออนาคต — ไม่ใช่แค่ของตัวเอง แต่ของเด็กๆ และประเทศทั้งประเทศ
“ยังไม่สายที่จะกลับมาร่วมกันครับ ผมเชื่อว่าทุกคนมีใจที่จะปกป้องทรัพยากรให้กับอนาคตของลูกๆ และครอบครัวพวกเรา” ทราย กล่าว
ที่มา ภาพและคำกล่าว : ทราย - Merman Ψ, Sea You Strong