ปฏิวัติวงการเลี้ยงไก่ จ.สุรินทร์ นำร่อง ใส่ใจชีวิต ไม่เร่งโต ไม่ใช้ยา

เลี้ยงไก่แบบสวัสดิภาพสูง มุ่งเน้นการดูแลไก่ให้มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตามพฤติกรรมตามธรรมชาติ ขยายผลในปีที่ 2 (2568) สู่ระดับชุมชนเต็มรูปแบบใน จ.สุรินทร์
KEY
POINTS
- เลี้ยงไก่แบบสวัสดิภาพสูง มุ่งเน้นการดูแลไก่ให้มีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตามพฤติกรรมตามธรรมชาติ
- ลดความเครียดของสัตว์ ไม่เลี้ยงในที่แออัด เปิดโอกาสให้ได้รับแสงแดด อากาศบริสุทธิ์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมี ส่งเสริมระบบอาหารปลอดภัยและยั่งยืน
- ความสำเร็จปีแรกของโครงการ “ฟาร์มแชมเปี้ยน” อัตราการรอดชีวิตของไก่เพิ่มจาก 95% → 99%
- ยุติการใช้ยาปฏิชีวนะ 100% ใช้โปรตีนทางเลือกจากภูมิปัญญาท้องถิ่น
- ขยายผลในปีที่ 2 (2568) สู่ระดับชุมชนเต็มรูปแบบใน จ.สุรินทร์
- ลดการพึ่งพาบริษัทใหญ่ กระจายรายได้สู่เกษตรกรรายย่อย
- พลูโตฟาร์ม จ.สุรินทร์ “คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ” – เกษตรกรสามารถอยู่ได้อย่างภูมิใจจากการเลี้ยงแบบสวัสดิภาพ
การเลี้ยงไก่แบบที่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการดูแลและให้ความสำคัญกับความสุขและสุขภาพของไก่ในทุกขั้นตอนของการเลี้ยง ตั้งแต่สภาพแวดล้อมที่มันอาศัย การให้อาหารที่เหมาะสม จนถึงการปฏิบัติต่อสัตว์ด้วยความเคารพตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ไก่มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลให้การผลิตเนื้อไก่และไข่มีคุณภาพสูงขึ้น
ทั้งยังสามารถลดการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของเกษตรกร ดังนั้น การเลี้ยงไก่แบบที่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์จึงเป็นการส่งเสริมการผลิตอาหารที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการของมนุษย์และการดูแลโลกและสัตว์ไปพร้อมกัน
องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (World Animal Protection Thailand) ประกาศความก้าวหน้าครั้งสำคัญของโครงการ “ฟาร์มแชมเปี้ยน” ซึ่งในปีที่ 2 นี้ได้ก้าวข้ามผ่านการทดลองนำร่องในปี 2567 เพื่อขยายผลการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระดับชุมชนอย่างจริงจัง ด้วยการพัฒนาโมเดลการเลี้ยงไก่ที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพสัตว์ รวมทั้งการตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เพียงแต่พัฒนาการเลี้ยงไก่ในไทย แต่ยังเป็นการนำประเทศไทยเข้าสู่การปฏิวัติระบบการผลิตอาหารที่เอื้อต่อความเป็นธรรมและสวัสดิภาพของทั้งสัตว์และเกษตรกรอย่างยั่งยืน
ฟาร์มแชมเปี้ยน: ความสำเร็จเกษตรกรไทย
โครงการฟาร์มแชมเปี้ยนในปีแรกได้พิสูจน์แล้วว่า โมเดลการเลี้ยงไก่แบบใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์สามารถทำได้จริงในบริบทไทย โดยการปรับเปลี่ยนจากการเลี้ยงไก่ในระบบฟาร์มปิดแบบดั้งเดิม มาเป็นฟาร์มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของไก่ ผลลัพธ์ที่ได้ชัดเจนมาก ไก่ที่ได้รับการดูแลในฟาร์มเหล่านี้มีสุขภาพแข็งแรงกว่าด้วยการไม่ต้องอยู่ในพื้นที่แออัด ได้รับแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ พร้อมกับการแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติ ส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตของไก่จากเฉลี่ย 95% เพิ่มขึ้นเป็น 99%
ที่สำคัญที่สุด ฟาร์มที่เข้าร่วมโครงการสามารถหยุดการใช้ยาปฏิชีวนะได้แบบ 100% ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายทั้งต่อสุขภาพสัตว์และลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังมีการใช้แหล่งโปรตีนจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น หนอนแมลงวันลาย แหนแดง และสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าอาหารไก่และลดต้นทุนการใช้ยาและสารเคมี ซึ่งช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนได้หลายพันบาทต่อการเลี้ยงไก่หนึ่งรุ่น
นอกจากความสำเร็จด้านสุขภาพและความยั่งยืนในระบบการเลี้ยงแล้ว เกษตรกรยังมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายไก่ที่มีคุณภาพสูงและมีสวัสดิภาพ ซึ่งสร้างแรงผลักดันให้ระบบฟาร์มสวัสดิภาพสูงไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสัตว์ แต่ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมด้วย
ขยายผลในระดับชุมชน
หลังจากที่โครงการในปีแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก โครงการฟาร์มแชมเปี้ยนปีที่ 2 จึงเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง โดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านเกษตรกรในจังหวัดสุรินทร์จากระบบฟาร์มปิดไปสู่ฟาร์มแบบปล่อยอิสระหรือฟาร์มสวัสดิภาพสูง ซึ่งใช้สายพันธุ์ไก่โคราชที่เหมาะสมกับการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสัตว์ สายพันธุ์นี้แตกต่างจากไก่ในระบบอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วเกินไปและมักส่งผลเสียต่อสวัสดิภาพของสัตว์
ในปีที่ 2 นี้ โครงการจะคัดเลือกเกษตรกรที่มีจำนวนไก่เลี้ยงระหว่าง 500–1,200 ตัว เพื่อเข้าร่วมโครงการในเดือนมิถุนายน 2568 โดยจะมีการยกระดับเกษตรกรรุ่นแรกให้ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ในการเลี้ยงไก่ที่ใส่ใจสวัสดิภาพสัตว์ไปยังเกษตรกรรุ่นใหม่ การสร้างเครือข่ายเกษตรกรชุมชนต้นแบบจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและต่อเนื่อง โดยชุมชนสามารถปรับตัวและผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้ด้วยตัวเอง
ระบบอาหารที่เป็นธรรม
แผ้ว ภิรมย์ ผู้จัดการแคมเปญระบบอาหาร องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก ประเทศไทย กล่าวว่า จุดเปลี่ยนสำคัญในปีที่ 2 คือการสร้างระบบอาหารที่เป็นธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งเกษตรกร ไก่ และผู้บริโภค โดยมีชุมชนเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก การเลี้ยงไก่แบบสวัสดิภาพสูงไม่ใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นหลักปฏิบัติที่พิสูจน์แล้วว่าคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เมื่อมีเครือข่ายและพี่เลี้ยงที่เข้าใจบริบทท้องถิ่น
ยาปฏิชีวนะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ธวัชชัย พวงจันทร์ เจ้าของพลูโตฟาร์ม จ.สุรินทร์ ผู้เข้าร่วมโครงการฟาร์มแชมเปี้ยน หนึ่งในฟาร์มต้นแบบที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการเราเลี้ยงไก่แบบฟาร์มระบบปิด เราใช้ยาปฏิชีวนะเวลาไก่ป่วยเพื่อแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หลังจากเปลี่ยนมาเลี้ยงไก่ตามแนวทางสวัสดิภาพสูงในปีแรกของโครงการ เราเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในตัวไก่ที่สุขภาพแข็งแรงขึ้นจนไม่ต้องใช้ยา
จุดนี้มาสัมพันธ์กับรายได้ด้วย เพราะเราลดต้นทุนยาได้ ขณะเดียวกันการขายไก่สวัสดิภาพสูงก็ขายได้ราคาดีกว่าเดิม เราเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ และเราหันมาใส่ใจกับสวัสดิภาพสัตว์มากขึ้น ปีนี้เรายินดีที่ได้เป็นพี่เลี้ยง ถ่ายทอดประสบการณ์ให้รุ่นใหม่ เพราะเราอยากเห็นทั้งจังหวัดได้เดินไปพร้อมกันในทิศทางที่ดีกว่าเดิม
สร้างแรงบันดาลใจเกษตรกรรุ่นใหม่
สมจิตร นามสว่าง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองสนิทและเจ้าของสว่างรุ่งเรืองฟาร์ม กล่าวเสริมว่า การได้เป็นพี่เลี้ยงไม่ใช่แค่ช่วยสอนเรื่องเทคนิกการเลี้ยง แต่ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรรุ่นใหม่เชื่อว่า ฟาร์มเลี้ยงไก่สวัสดิภาพสูงอยู่ได้จริง และอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ ที่สำคัญคือเราได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในชุมชนของเราเอง
จุดเปลี่ยนสู่อนาคตฟาร์มไทยที่ยั่งยืน
แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ผลักดันความสำเร็จของโครงการ “ฟาร์มแชมเปี้ยน” ให้เดินหน้าอย่างมั่นคง โดยเฉพาะในจังหวัดสุรินทร์และพื้นที่ใกล้เคียงที่กลุ่มผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของอาหารมากขึ้น พวกเขาเลือกเนื้อสัตว์จากฟาร์มที่ให้ความเคารพต่อชีวิตสัตว์ มองเห็นคุณค่าของการเลี้ยงแบบสวัสดิภาพสูงที่ไม่เพียงดีต่อไก่ แต่ยังดีต่อสุขภาพมนุษย์และโลกใบนี้
โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีเลี้ยงไก่ แต่คือการ “ปฏิวัติระบบอาหาร” ของไทยในระดับโครงสร้าง ผ่านโมเดลที่เป็นธรรม (Equitable) โดยลดการพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่ คืนอำนาจต่อรองให้เกษตรกรรายย่อย และสร้างโอกาสให้ชุมชนมีรายได้อย่างเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังวางรากฐานด้วยหลักมนุษยธรรม (Humane) ให้ไก่ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกับธรรมชาติของมัน ลดความเครียด ยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ และลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งช่วยปกป้องสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน โมเดลนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน (Sustainable) โดยมุ่งเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับระบบฟาร์มอุตสาหกรรม โดยใช้สายพันธุ์ไก่โคราช—สายพันธุ์ลูกผสมโตช้า ที่พัฒนาขึ้นโดยอิงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสานเข้ากับนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ เป็นเครื่องยืนยันว่า “การเลี้ยงไก่แบบยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เรื่องของอนาคต แต่กำลังเกิดขึ้นจริงแล้วในวันนี้