‘ลานีญา’ หมดแล้ว เข้าสู่ภาวะเป็นกลาง พยากรณ์อากาศยากกว่าเดิม

“ลานีญา” รอบนี้มาช้า อ่อนกำลัง และไปแล้ว เข้าสู่ “สภาวะความเป็นกลาง” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นช่วงที่พยากรณ์อากาศได้ยากขึ้น
โลกของเราเข้าสู่ช่วง “ปรากฏการณ์ลานีญา” ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี 2025 แต่ผ่านมาไม่เกี่เดือน สำนักงานบริหารบรรยากาศ และมหาสมุทรแห่งชาติสหรัฐ (NOAA) ก็ประกาศว่า “ลานีญา” หายไปแล้วอย่างรวดเร็วภายในเวลา 3 เดือน ทำให้ตอนนี้เข้าสู่ “สภาวะความเป็นกลาง” (ENSO-Neutral) และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายเดือน
โดยทั่วไปแล้วลานีญามักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว มีจุดสูงสุดในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจะค่อย ๆ เบาลงในช่วงฤดูร้อน แต่ในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด เนื่องจากลานีญาในรอบนี้เกิดขึ้นช้ากว่าปกติ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 75 ปีที่เกิดขึ้นช้าขนาดนี้ (ครั้งแรกคือ ช่วงปี 2008-2009)
นักพยากรณ์อากาศติดตามปรากฏการณ์ลานีญาและเอลนีโญอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศทั่วโลกในลักษณะที่ค่อนข้างสม่ำเสมอและคาดเดาได้ล่วงหน้า แต่ในปีนี้ลานีญากลับหายไปเร็วกว่าปรกติ ซึ่งทำให้นักพยากรณ์อากาศค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ยังมั่นใจว่าปรากฏการณ์นี้จะไม่ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป เพราะร่องรอยของลานีญาจะคงอยู่ต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าร่องรอยนี้จะคงอยู่ต่อไปนานแค่ไหนและในระดับใด
สภาพอากาศที่เป็นกลาง เป็นช่วงที่ไม่ได้ร้อนมากพอที่จะเกิดเอลนีโญ แต่ก็ไม่เย็นพอจนจะขึ้นขั้นเป็นลานีญา ซึ่งมันจะเกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดปรากฏการณ์เอลนีโญ หรือลานีญา NOAA คาดว่าสภาวะความเป็นกลางอาจจะอยู่ยาวตลอดปี 2025 และจะขึ้นสู่จุดสูงสุดในช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งตรงกับช่วงฤดูพายุ
นักพยากรณ์ระบุว่า ในตอนนี้ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่าในปีนี้พายุจะรุนแรงหรือไม่ เพราะเมื่อเกิดสภาวะความเป็นกลางทำนายได้ยากกว่าตอนเกิดเอลนีโญและลานีญามาก ต้องอาศัยปัจจัยอื่น ๆ ประกอบเช่น ความร้อนในมหาสมุทร และ “ภาวะโลกร้อน” ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ที่ทำให้มหาสมุทรเย็นตัวช้าลงมาก และในตอนนี้ท้องทะเลกักเก็บความร้อนส่วนเกินไว้มากกว่า 90% จนทำให้ปี 2023-2024 อุณหภูมิของมหาสมุทรทั่วโลกอยู่ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2024 ปรากฏการณ์เอลนีโญเปลี่ยนผ่านสู่สภาวะความเป็นกลางเพียงระยะไม่นาน ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูพายุเฮอริเคนที่รุนแรงครั้งหนึ่งของสหรัฐ ทำให้เกิดพายุที่มีชื่อเรียก 18 ลูก รวมถึงพายุเฮอริเคน 11 ลูก ซึ่งสถานการณ์ดูคล้ายคลึงกับปีนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า ปีนี้จะเกิดพายุที่รุนแรงไม่ต่างกันนัก
อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิทั่วโลกยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกิดภาวะโลกร้อนบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้อากาศโดยรวมร้อนขึ้นและแห้งแล้งมากกว่าเดิม







