'กรมอุตุฯ' เร่งพัฒนาระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้าให้เท่าทัน

กรมอุตุฯ เผยแผ่นดินไหวล่าสุดกระทบไทย แม้อยู่นอกประเทศ เร่งพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงได้ภายใน 5 นาที พร้อมเสนอตั้งองค์กรกลางดูแลภัยพิบัติ
KEY
POINTS
- ผลกระทบจากแผ่นดินไหวนอกประเทศ: แผ่นดินไหวล่าสุดมีจุดศูนย์กลางอยู่นอกประเทศไทย แต่ส่งผลกระทบรุนแรงและมีความพิเศษ แรงสั่นสะเทือนส่งผลให้รอยเลื่อนในประเทศไทยมีการขยับตัว
- พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า: กรมอุตุฯ กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System - EWS) สำหรับแผ่นดินไหวในประเทศไทย
- การพยากรณ์แผ่นดินไหว: การพยากรณ์เวลา สถานที่ และขนาดของแผ่นดินไหวที่แน่นอนยังไม่สามารถทำได้ แต่สามารถประเมินโอกาสหรือความน่าจะเป็น (forecast) ของการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงในช่วงเวลาต่างๆ ได้
จากเหตุการณ์ แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มี.ค. พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก แม้ว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวจะอยู่นอกประเทศ แต่แรงสั่นสะเทือนก็ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างชัดเจน
นัฐวุฒิ แดนดี รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้กล่าวในงาน เสวนา "โลกเดือด แผ่นดินขยับ : อยู่กับความเสี่ยงอย่างไร ให้ปลอดภัยอย่างยั่งยืน" ที่จัดโดยกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่า ความท้าทายที่ กรมอุตุนิยมวิทยา ต้องเผชิญหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข่าวลือ (fake news) จำนวนมาก การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และความตื่นตระหนกของประชาชนเกี่ยวกับอาฟเตอร์ช็อกและการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ตามมา
พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า
กรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งมีกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว และเป็นหน่วยงานหลักในการสื่อสารข้อมูลแผ่นดินไหวกับประชาชน กำลังเร่งศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System - EWS) สำหรับแผ่นดินไหวในประเทศไทย โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. และพิจารณาการใช้ประโยชน์จากคลื่นปฐมภูมิ (P-waves)
โดยการตรวจจับคลื่น P-waves ล่วงหน้า จะทำให้สามารถแจ้งเตือนประชาชนให้เตรียมพร้อมรับมือกับแรงสั่นสะเทือนที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ การพัฒนาระบบนี้ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเครือข่ายสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
การพยากรณ์แผ่นดินไหว
นายนัฐวุฒิ กล่าวว่า การพยากรณ์ เวลา สถานที่ และขนาดของแผ่นดินไหวที่แน่นอนยังไม่สามารถทำได้ แต่สามารถประเมินโอกาสหรือความน่าจะเป็น (forecast) ของการเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่เสี่ยงในช่วงเวลาต่างๆ ได้ ซึ่งข้อมูลนี้มีประโยชน์ในการวางแผน การทำประกันภัย และการเตรียมความพร้อม
ผลกระทบจากแผ่นดินไหวนอกประเทศ
แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดมีจุดศูนย์กลางอยู่นอกประเทศไทย แต่ส่งผลกระทบรุนแรงและมีความพิเศษ ถึงแม้แผ่นดินไหวครั้งนี้จะอยู่นอกประเทศ แต่แรงสั่นสะเทือนก็ส่งผลให้รอยเลื่อนในประเทศไทยมีการขยับตัว ซึ่งเป็นการสั่นไหว ไม่ใช่การเชื่อมต่อโดยตรงของรอยเลื่อน
การตรวจวัดและแจ้งเตือนภัย
กรมอุตุนิยมวิทยามีบทบาทในการตรวจวัดและรวบรวมข้อมูลแผ่นดินไหว โดยมีสถานีตรวจวัดในกรุงเทพฯ ประมาณ 5 สถานี ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการประเมินสถานการณ์
กรมอุตุนิยมวิทยามีคู่มือปฏิบัติงานมาตรฐาน (SOP) สำหรับการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว โดยร่วมมือกับกรมทรัพยากรธรณี มีเป้าหมายให้สามารถแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงได้ภายใน 5 นาที ประเมินความอันตรายของรอยเลื่อนภายใน 15 นาที และประเมินสถานการณ์อาฟเตอร์ช็อกภายใน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนทราบสถานการณ์โดยเร็ว
ปัญหาการสื่อสาร
ในช่วงแรกของการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ระบบการสื่อสารอาจมีปัญหา (เครือข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตล่ม) ซึ่งเป็นอุปสรรคในการแจ้งเตือน
การปรับปรุงระบบแจ้งเตือน
มีการปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนทาง SMS โดยให้กรมทรัพยากรธรณีสามารถป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติเสมือน (virtual) ของ ปภ. ได้โดยตรง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลรวดเร็วขึ้น
ข้อเสนอแนะ
ในระยะยาวควรมีองค์กรกลางที่เป็นเอกภาพในการดูแลและจัดการภัยพิบัติโดยตรง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ การพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและการมีองค์กรกลางที่เข้มแข็ง จะช่วยลดความสูญเสียและปกป้องชีวิตของประชาชนได้







