หาคำตอบ...แท้จริงแล้วภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวหรือไม่?

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบในทุกมิติของโลก ความสงสัยว่า “ภาวะโลกร้อนอาจมีส่วนทำให้เกิดแผ่นดินไหว” กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจ
KEY
POINTS
- แผ่นดินไหว 'ไม่ได้' เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ 'โดยตรง'
- โลกร้อนส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการเกิดแผ่นดินไหว
- แผ่นดินไหวเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและการสะสมพลังงานใต้ผิวโลก
ภายหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว (Earthquake) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่บริเวณเมืองมัณฑะเลย์ ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวสามารถรับรู้ได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือ และกรุงเทพมหานคร
มีข้อสันนิษฐานเพิ่มขึ้นอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์และแวดวงต่างๆ ว่าแผ่นดินไหวอาจมีความเชื่อมโยงกับ 'ภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ' ประเด็นนี้ได้กระตุ้นความสนใจจากสาธารณชน ทำให้เกิดคำถามว่า แท้จริงแล้วแผ่นดินไหวสามารถเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนได้หรือไม่?
ในบทความนี้ เราจะสำรวจคำตอบ โดยพิจารณาถึงสาเหตุที่แท้จริงของแผ่นดินไหว รวมถึงผลกระทบที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจมีต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้
ภาวะโลกร้อนและแผ่นดินไหว
มีความเข้าใจผิดหลายประการที่เชื่อมโยงแผ่นดินไหวกับภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะการบอกว่าอุณหภูมิที่สูงทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ แต่สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก่อนคือ แผ่นดินไหว 'ไม่ได้' เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ 'โดยตรง'
แม้ว่าภาวะโลกร้อนจะไม่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวโดยตรงได้ แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อหลายด้านของสิ่งแวดล้อม เช่น การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ทำให้เกิดภัยพิบัติจากสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น และมีผลกระทบทางอ้อมที่ส่งผลต่อการเกิดแผ่นดินไหวในบางกรณี เช่น
- การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลก: การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกและการสูญเสียมวลน้ำแข็งในแถบอาร์กติกและแอนตาร์กติกอาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลในน้ำหนักของพื้นผิวโลก ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกได้ ตัวอย่างเช่น ในบางกรณีที่พื้นที่ที่มีน้ำแข็งหนาได้ละลายไปแล้ว จะทำให้เกิดการดันตัวขึ้นของพื้นผิว (isostatic rebound) ซึ่งอาจมีผลต่อการเคลื่อนที่ของแผ่นดินไหว
- การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น: หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นตามที่คาดการณ์จากภาวะโลกร้อน การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักจากน้ำที่เข้ามาในพื้นที่ชายฝั่งอาจทำให้เกิดการสะสมพลังงานในรอยเลื่อนใต้ทะเล ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้
แล้วแผ่นดินไหวเกิดจากอะไร?
แผ่นดินไหวเกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและการสะสมพลังงานใต้ผิวโลก เช่น
- การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (Tectonic Plates) : แผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่ที่ประกอบขึ้นเป็นเปลือกโลกชั้นนอก (Lithosphere) ซึ่งลอยอยู่บนชั้นหินหนืด (Mantle) ที่ร้อนและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แผ่นเปลือกโลกเหล่านี้สามารถเคลื่อนตัวชนกัน แยกออกจากกัน หรือเลื่อนขนานกันได้ การเคลื่อนที่นี้เป็นสาเหตุหลักของแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และการเปลี่ยนแปลงของพื้นผิวโลก
- รอยร้าวหรือรอยเลื่อน (Fault) : คือรอยร้าวหรือรอยเลื่อนในชั้นหินของเปลือกโลก เกิดจากการสะสมแรงดันในชั้นหินจนเกินขีดจำกัดของมัน ทำให้เกิดการเลื่อนตัวของหินทั้งสองด้านของรอยเลื่อน เมื่อเกิดการเลื่อนอย่างฉับพลัน ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว ซึ่ง Faults มักพบตามขอบเขตของ Tectonic Plates แต่สามารถเกิดขึ้นในบริเวณใดก็ได้ที่มีแรงดันในเปลือกโลก ซึ่งเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดจากรอยเลื่อนสะกายในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
- การปะทะของภูเขาไฟ (Volcanic Activity): แผ่นดินไหวสามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างหรือหลังจากการปะทุของภูเขาไฟ เนื่องจากการเคลื่อนที่ของแมกมาภายในผิวโลกที่สามารถทำให้เกิดการสะสมพลังงานและการเปลี่ยนแปลงในชั้นหินใต้ผิวโลก
- การกระทำของมนุษย์ (Anthropogenic Causes): แม้ว่าปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติจะเป็นสาเหตุหลัก แต่การกระทำของมนุษย์ เช่น การขุดเจาะแหล่งน้ำมันหรือการทำเหมืองแร่ ก็สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ เช่น การฉีดน้ำหรือสารเคมีเข้าไปในใต้ดินเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันหรือแก๊ส
การเชื่อมโยงระหว่างภาวะโลกร้อนกับแผ่นดินไหวยังคงเป็นเรื่องที่ต้องการการศึกษาเพิ่มเติม แม้จะมีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ถึงผลกระทบทางอ้อม แต่ในทางตรง ยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่ละเอียดและครบถ้วน
อ้างอิง : NASA Science, The Conversation, EGU, University of Miami







