SC Asset เอาจริง! ทำอสังหาฯ ดีต่อโลก-ดีต่อคน ผนึกพันธมิตรผ่านกลยุทธ์ SCero

SC Asset เอาจริง! ทำอสังหาฯ ดีต่อโลก-ดีต่อคน ผนึกพันธมิตรผ่านกลยุทธ์ SCero

พันธมิตรมากกว่า 100 ราย ร่วมขับเคลื่อน SCero Mission เพื่อร่วมมือกันขับเคลื่อนอนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทยไปสู่ความยั่งยืน ด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)

KEY

POINTS

  • SC Asset ตั้งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 100,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี
  • พันธมิตรมากกว่า 100 ราย ร่วมขับเคลื่อน “SCero Mission” สร้างมาตรฐานสำหรับอสังหาฯ ไปสู่ความยั่งยืน
  • เปิดเวทีแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือจากผู้บริหารระดับสูงในหลากหลายอุตสาหกรรม

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญ การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกๆ อุตสาหกรรมจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 40%

SC Asset จึงเดินหน้าผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สีเขียวอย่างเต็มที่ พร้อมประกาศพันธกิจด้านความยั่งยืนผ่าน “SCero Mission” ในงานใหญ่ “SCero Together: เปลี่ยนอนาคตอสังหาฯ สู่ความยั่งยืน” ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 100,000 ตันคาร์บอนภายใน 5 ปี เพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นถัดไป

โดยมีพันธมิตรชั้นนำกว่า 100 ราย อาทิ SCG, Tata, TOA, เบเยอร์, บลูสโคป, ไดกิ้น, มิตซูบิชิ รวมถึงกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างและสถาบันการเงินเข้าร่วมงาน

ตั้งเป้า Net Zero 2065

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้พูดถึงภารกิจสำคัญ SCero Mission และทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืนของ SC Asset โดยเปิดเผยว่า การดำเนินการด้านความยั่งยืนต้องทำร่วมกันกับพันธมิตรทุกฝ่ายอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจจริง

เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำได้โดยคนเดียว “ความยั่งยืนไม่สามารถรอได้” และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย โดยเฉพาะในปีนี้ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับความยากลำบากในหลายด้าน

SCero Mission คือพันธกิจหลักของ SC Asset ที่ตั้งใจจะทำให้โลกนี้ดีขึ้นสำหรับคนรุ่นถัดไป โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2065 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2022 และผ่านมา 2 ปีแล้ว ก็มีความคืบหน้ามากมาย เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการ ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“โลกของเราร้อนขึ้นประมาณ 1.5 องศาในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในอนาคต ดังนั้น การตั้งเป้าหมายในการลดอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 2 องศา และพยายามทำให้ต่ำกว่า 1.5 องศา เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน”

SC Asset เอาจริง! ทำอสังหาฯ ดีต่อโลก-ดีต่อคน ผนึกพันธมิตรผ่านกลยุทธ์ SCero

อสังหาริมทรัพย์ปล่อย GHG 40%

ณัฐพงศ์ กล่าวด้วยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด โดยมีสัดส่วนถึง 40% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด จึงเป็นหน้าที่ของ SC Asset ที่จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังในการลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการประกาศ SCero Mission

จนถึงวันนี้บริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว กว่า 26,000 ตันคาร์บอน ผ่านการดำเนินการใน 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ การเลือกวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในอาคารและโครงการต่างๆ และการจัดการขยะอย่างยั่งยืน 

“เราได้ติดตั้ง solar roof ในอาคารสำนักงาน บ้านตัวอย่างรวมกว่า 50 โครงการ และการแยกขยะอย่างมีระบบ โดยในปีที่ผ่านมา ทีมงานสามารถทำให้วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างกว่า 85% เป็นวัสดุที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 28% ใน 2 ปีที่ผ่านมา”

กลยุทธ์ 3 Greens

ณัฐพงศ์ กล่าวต่อว่า จากนี้ SC Asset และพันธมิตรจะร่วมเดินหน้าลด GHG ให้ได้ 100,000 ตันคาร์บอน ภายใน 5 ปี ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 Greens ได้แก่ Green-well standard, Green DNA และ Green collaboration

  • Green-well standard: ยกระดับการพัฒนาอสังหาฯ อย่างยั่งยืน โดยกำหนดมาตรฐานสำหรับอสังหาฯ ทุกประเภทที่พัฒนาโดย SC ทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาฯ สร้างรายได้ประจำ ให้ดีต่อโลก และดีต่อคน อย่างยั่งยืนในทุกมิติ โดยจะเริ่มใช้มาตรฐานใหม่ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ครอบคลุมทั้ง 3 มิติ คือ eco-friendly การใช้วัสดุและนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, energy efficiency การพัฒนาอสังหาฯ ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, และ healthy living การออกแบบและเลือกใช้วัสดุเพื่อส่งเสริมสุขภาวะที่ดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผู้คน
  • Green DNA: มุ่งสร้างแนวคิดความยั่งยืนให้เป็นส่วนหนึ่งใน DNA ของพนักงาน SC Asset ทุกคน ผ่านการสร้างความตระหนักรู้ วัฒนธรรมองค์กร และการลงมือปฏิบัติจริงจัง เพื่อให้ทุกบทบาทและการทำงานของคน SC มีส่วนร่วมในการลด GHG ได้อย่างจับต้องได้ รวมถึงการร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับคู่ค้า และลูกค้า
  • Green collaboration: ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 100 ราย ลดการปล่อย GHG ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาอสังหาฯ ครอบคลุมตั้งแต่การหาเงินทุน การออกแบบ การจัดซื้อ การก่อสร้าง ไปจนถึงการจัดการของเสียอย่างเป็นระบบ ภายใน 5 ปีนี้ มากกว่า 95% ของมูลค่าการจัดซื้อ จะมาจากวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

SC Asset เอาจริง! ทำอสังหาฯ ดีต่อโลก-ดีต่อคน ผนึกพันธมิตรผ่านกลยุทธ์ SCero

OKRs เพื่อทุกฝ่ายมีเป้าชัดเจน

สุดารัตน์ เจริญเกตุมงคล Senior Executive Vice President of Sustainable Development บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ในช่วงสองปีที่ผ่านมา SC Asset ได้เก็บข้อมูลการใช้วัสดุจากพันธมิตรต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายร้อยราย และยังไม่เคยมีการเก็บข้อมูลมาก่อน ดังนั้นสิ่งนี้จึงถือเป็นการเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อมกัน โดยเฉพาะการเสริมสร้างการศึกษาร่วมกับพันธมิตรและการเติบโตไปทีละขั้นตอน

“เราให้ความสำคัญในเรื่องของความมั่นคง เพราะเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องการความทุ่มเทในการทำงาน ดังนั้น เราจึงมองว่าเป้าหมาย 100,000 ตันคาร์บอนภายใน 5 ปีนั้น สามารถทำได้ แต่จะเป็นการท้าทายที่สำคัญ”

ในเรื่องของ Green DNA หรือแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบุคคลและการทำงานร่วมกัน โดยเริ่มต้นจากการกำหนดทิศทางที่ชัดเจนด้วยการใช้ OKRs (Objectives and Key Results) เพื่อให้ทุกฝ่ายมีเป้าหมายที่แน่นอน จากนั้นจะต้องลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง รวมถึงการประเมินผลและการให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงตลอดเวลา ผ่านกระบวนการ PDCA (Plan-Do-Check-Act)

การสร้างแรงบันดาลใจและการศึกษากับผู้คนเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ เพราะสิ่งที่เราทำไม่เพียงแต่เพื่อโลก แต่ยังเพื่อประโยชน์ของคนในสังคมด้วย เช่น การแยกขยะและการปิดไฟ ซึ่งเป็นการกระทำที่เราสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอเทคโนโลยีหรือการแก้ไขปัญหาขนาดใหญ่

ขณะที่ มาตรฐาน Green Well ที่ครอบคลุมทุกประเภทของธุรกิจ ตั้งแต่บ้าน, คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน โรงแรม ไปจนถึงคลังสินค้า ซึ่งในแต่ละประเภทจะมีการประเมินและการวัดผลที่เป็นมาตรฐานในเรื่องของการใช้พลังงานและการลดการปล่อยคาร์บอน ทุกสิ่งที่ทำไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังเป็นการสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการเลือกวัสดุที่มีคาร์บอนต่ำและการออกแบบที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน

นอกจากนี้ SC Asset ยังให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนในกระบวนการผลิต เช่น การเลือกวัสดุที่มีราคาคุ้มค่าและช่วยลดต้นทุนได้โดยไม่ลดคุณภาพของสินค้า และยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้สามารถลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

“ตอนนี้เรากำลังมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้และการสร้างความเข้าใจร่วมกัน (Green collaboration) เพื่อให้การดำเนินงานของเราเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่เพียงแต่เพื่อธุรกิจ แต่เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทุกคนทำงานร่วมกันอย่างมีความเข้าใจ เราก็สามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นได้"

การลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นความท้าทายที่ใหญ่ แต่ SC Asset เชื่อว่า ด้วยการทำงานร่วมกันและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

SC Asset เอาจริง! ทำอสังหาฯ ดีต่อโลก-ดีต่อคน ผนึกพันธมิตรผ่านกลยุทธ์ SCero

พลิกโฉมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

ในการพูดคุยภายใต้หัวข้อ "Game Changers in Green Transitions พลิกโฉมธุรกิจอสังหาฯ และอุตสาหกรรม สู่อนาคตไร้คาร์บอน" โดยผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการ ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกันในการลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการผลักดันอนาคตที่ยั่งยืน

ดร.กิตติศักดิ์ พฤกษ์กานนท์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และความร่วมมือระหว่างประเทศจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงความจำเป็นในการสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า การดำเนินงานในระดับประเทศต้องมีมาตรการที่มีกำหนดชัดเจน ไม่เพียงแต่ใช้มาตรการเชิงสมัครใจ แต่ต้องมีการควบคุมและบังคับใช้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการยืนยันว่าภาครัฐต้องมีบทบาทในการผลักดันมาตรการที่ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมได้

การพัฒนา "กฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (Climate Change Act) ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างกรอบการทำงานที่ชัดเจน และการตั้ง "กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" (Climate Fund) ที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้

หากธุรกิจอสังหาฯ ไม่ปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ในอนาคตคุณจะพบว่า การเข้าถึงแหล่งทุนหรือแหล่งทรัพยากรต่างๆ จะยากขึ้นอย่างแน่นอน เพราะกฎเกณฑ์ของโลกได้มีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนไว้แล้ว และถ้าคุณไม่ปรับตัวไปในทิศทางที่ยั่งยืน คุณจะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายเหมือนเดิม แต่หากคุณปรับตัวได้ คุณก็จะสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถเข้าถึงอัตราดอกเบี้ยที่ดีหรือการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐหรือเอกชนได้

สุดท้ายนี้ ความต้องการของตลาดและผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะใช้ชีวิตในลักษณะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจของเราเอง เนื่องจากเราสามารถสร้างสินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาทางเลือกที่ยั่งยืนมากขึ้น

ทำไมต้องจ่ายเพื่อสิ่งแวดล้อม

อุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิปซอสส์ จำกัด กล่าวว่า อิปซอสส์ ได้ทำการสำรวจพบว่า ประมาณ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยรู้สึกว่าอุณหภูมิของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นความร้อนทั้งทางกายและทางใจ อีกทั้งเกือบ 90% ก็เห็นว่า หากเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราในวันนี้ โลกจะเผชิญกับปัญหาที่รุนแรงในอนาคตอย่างแน่นอน

"เราเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้นว่า อากาศที่แปรปรวนและมลพิษ เช่น PM 2.5 กำลังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเราแล้ว ในส่วนของผู้บริโภคเอง ก็เริ่มเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การรีไซเคิลหรือการเลือกใช้ขนส่งสาธารณะ แต่สิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวังคือ ภาครัฐและเอกชนต้องมีบทบาทในการช่วยเหลือและร่วมมือกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น

นอกจากนั้น ผู้บริโภคยังคาดหวังว่าทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การประกาศนโยบาย แต่ต้องมีการตรวจสอบและติดตามผล เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงการพูด แต่เป็นการลงมือทำจริง"

ในอดีตผู้บริโภคอาจจะยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลับไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไมต้องจ่ายเพิ่มในเมื่อการดำเนินการในเรื่องนี้ยังไม่เห็นผลอย่างชัดเจน ดังนั้นเราต้องมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจและการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

สำหรับการรับรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) ของคนไทยยังคงเป็นเรื่องที่มีความเข้าใจน้อยกว่าผู้คนในโลกตะวันตก แม้ว่าในไทยจะเริ่มให้ความสำคัญในเรื่อง ESG (Environment, Social, Governance) แต่ยังมีพื้นที่ในการพัฒนาอยู่มาก โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคในเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราทุกคนในฐานะผู้ประกอบการมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เผยแพร่ความรู้และสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อมๆ กัน

โดยเฉพาะในฐานะผู้ประกอบการ เราสามารถเป็นพันธมิตรที่ดีร่วมกับผู้บริโภคในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน และในขณะเดียวกัน ภาครัฐและเอกชนต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เพราะการละเลยอาจส่งผลให้ผู้บริโภคและพนักงานในองค์กรเริ่มรู้สึกถึงการขาดการดำเนินการอย่างจริงจัง และอาจมีผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร

คนไทยหลอกตัวเองหรือไม่

บุญรอด เยาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการ บริษัท The Creagy กล่าวถึง จุดอ่อนของการบังคับใช้กฎหมายและ "การหลอกตัวเอง" ในประเทศไทย ว่า ในประเทศไทยการบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ง่ายต่อการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ ซึ่งคนไทยบางคนอาจหลอกตัวเองว่ากำลังประนีประนอมกับกฎ แต่จริงๆ แล้วอาจจะละเมิดกฎเมื่อไม่มีใครมองเห็น

"ของประเทศไทยผมว่า จุดอ่อนของประเทศไทยเราต้องยอมรับว่า Enforcement ของ Law ของเราต่ำที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ใช่ใช่ พอเราไม่มีการกฎหมายที่ดี เราก็เลยเป็นคนที่บางทีอาจจะต้องเรียกกันว่า มักง่ายนิดนึง และเราก็ชอบหลอกตัวเองว่าเราเป็นคน compromise"

อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่และความพยายามปัจจุบันจะสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีในพฤติกรรมสังคมของประเทศไทย พวกเขาเชื่อว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะในเรื่องของการศึกษา

สู่เศรษฐกิจที่ปล่อยคาร์บอน

ดร. วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย สะท้อนถึงมุมมองที่สำคัญเกี่ยวกับบทบาทของธนาคารในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากการปล่อยคาร์บอนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นในด้านการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ โอกาสทางธุรกิจในด้านการเงินที่ยั่งยืน และการที่ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์การปล่อยคาร์บอนของตัวเอง รวมถึงความสำคัญของการร่วมมือกับลูกค้าเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ยั่งยืน

"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีทั้งความเสี่ยงและโอกาสสำหรับธนาคาร โดยเฉพาะในด้านของ ความเสี่ยงการแพร่กระจาย (Transmission Risk) และโอกาสทางธุรกิจ ความเสี่ยงการแพร่กระจาย คือ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าของธนาคารจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ เช่น ภาษีคาร์บอน หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความตระหนักต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

โอกาสทางธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากคาร์บอนในประเทศไทยเปิดโอกาสทางธุรกิจที่มีมูลค่าสูง โดยมีการประมาณการการลงทุนที่ใกล้เคียงกับ 30 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารสามารถมีส่วนร่วมในโครงสร้างการเงินที่มีอัตราส่วน 3:1 ส่งผลให้มีโอกาสทางธุรกิจถึง 20 ล้านล้านบาทตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 2050"