อาคารไหนปลอดภัย? หลังแผ่นดินไหว มจธ.แนะใช้คู่มือกรมโยธาฯ ตรวจลดเสี่ยง

ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดอบรมหัวข้อ "กรณีศึกษาจากการตรวจอาคารจากแผ่นดินไหว ข้อกฎหมาย และแนวทางการตรวจสอบ" ย้ำความเสียหายแม้ไม่ถึงขั้นอันตรายที่ต้องอพยพผู้คน แต่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ
KEY
POINTS
- ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จัดอบรม "กรณีศึกษาจากการตรวจอาคารจากแผ่นดินไหว ข้อกฎหมาย และแนวทางการตรวจสอบ"
- คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว จัดทำโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง เมื่อปี 2560
- ปี 2550 เริ่มประกาศใช้กฎหมายควบคุมการออกแบบอาคารรองรับแผ่นดินไหว
- ความเสียหายแม้ไม่ถึงขั้นอันตรายที่ต้องอพยพผู้คน แต่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ
- ป้าย 3 สีเพื่อแบ่งระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น
- วิศวกรอาสาตรวจสอบ ไม่พอที่จะตรวจสอบอาคารในกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่าหมื่นอาคาร
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ซึ่งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้สร้างความวิตกกังวลในกลุ่มประชาชนเกี่ยวกับความมั่นคงและความปลอดภัยของอาคาร โดยเฉพาะอาคารสูงและโครงสร้างที่อาจไม่ได้รับการออกแบบหรือเสริมความแข็งแรงเพียงพอในการทนต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว
การรับรู้ถึงความเสี่ยงดังกล่าวทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงมาตรฐานการก่อสร้างและการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารต่างๆ อย่างเข้มงวดมากขึ้น การสำรวจความเสียหายของอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนวิศวกรที่เชี่ยวชาญมีจำกัด
เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้จัดการอบรมหัวข้อ "กรณีศึกษาจากการตรวจอาคารจากแผ่นดินไหว ข้อกฎหมาย และแนวทางการตรวจสอบ" นอกจากนี้ยังได้ให้ความสำคัญกับการใช้คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่จัดทำโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2560
มาตรฐานออกแบบอาคาร
รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหว และอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า อาคารที่ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มประกาศใช้กฎหมายควบคุมการออกแบบอาคารเพื่อรองรับแผ่นดินไหวอย่างเป็นทางการ และอาคารที่ก่อสร้างตามมาตรฐานในปัจจุบัน ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายที่ส่งผลต่อโครงสร้างหลักจะมีน้อยกว่า (ขึ้นอยู่กับแรงของแผ่นดินไหว)
"หากเจ้าของโครงการให้ความสำคัญกับเรื่องแผ่นดินไหว มีการออกแบบและก่อสร้างอย่างถูกต้อง รวมถึงภาครัฐมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ประชาชนในตึกนั้นเกิดความมั่นใจมากขึ้น"
ส่วนตึกหรืออาคารที่สร้างก่อนประกาศใช้กฎหมายควบคุมการออกแบบอาคาร พ.ศ. 2550 สามารถให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบ เพื่อยืนยันความปลอดภัยอาคาร รวมถึงการใช้การเสริมแรงให้อาคารเพื่อรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวและลมได้ดีขึ้น หากมีความจำเป็น โดยวัสดุและการออกแบบก่อสร้างที่ไม่ได้คิดถึงแรงสั่นสะเทือน อาจมีผลต่อความมั่นคงของอาคารในระยะยาว โดยเฉพาะหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในอนาคต
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจะเป็นในส่วนของงานสถาปัตยกรรม เช่น การแตกร้าวของผนัง การหลุดลอกของปูน หรือการแยกตัวของผนังจากเสา แม้จะไม่ถึงขั้นอันตรายที่ต้องอพยพผู้คนออกจากอาคาร แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและซ่อมแซมโดยเร็วเพื่อป้องกันปัญหาต่อไป
คู่มือการสำรวจความเสียหาย
ในปี 2560 กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้เผยแพร่ "คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว" ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ให้แนวทางสำหรับการประเมินความเสียหายเบื้องต้นของอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว เพื่อปกป้องความปลอดภัยของประชาชนและสนับสนุนการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
คู่มือดังกล่าวได้แบ่งระดับการประเมินความเสียหายหลังแผ่นดินไหวเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- การสำรวจความเสียหายเบื้องต้น: การสำรวจที่ทำได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น ไม้บรรทัด, สายวัด และระดับน้ำ เพื่อระบุอาคารที่มีความเสี่ยงที่จะพังถล่มหรืออาจมีภัยพิบัติอื่น ๆ การสำรวจประเภทนี้ต้องทำอย่างรวดเร็วและครอบคลุมอาคารจำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
- การสำรวจความเสียหายโดยละเอียด: การสำรวจโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะทำการตรวจสอบอาคารที่พบว่าอาจมีความอันตรายจากการสำรวจเบื้องต้น เพื่อยืนยันความปลอดภัยหรือหาวิธีการซ่อมแซมที่เหมาะสม
หลักการสำรวจความเสียหายเบื้องต้น
ในการสำรวจเบื้องต้น วิศวกรหรือผู้ตรวจสอบต้องคำนึงถึงความสามารถของอาคารในการทนต่อการรับน้ำหนักและการสั่นสะเทือนในอนาคต ซึ่งรวมถึง
- การรับน้ำหนักปกติ (โหลดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน)
- การรับแรงลม
- แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวหลังจากนั้น
พื้นที่ที่ต้องให้ความสนใจในการสำรวจเบื้องต้นได้แก่
- ความเสี่ยงในการพังถล่มทั้งในส่วนของโครงสร้างหลักและโครงสร้างเสริม
- ภัยจากวัสดุที่ตกหล่นจากส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง เช่น กำแพงอิฐ หลังคา หรือผนัง
- ภัยจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคารข้างเคียงหรือพื้นดินที่เสียหาย
ระดับความเสียหายของอาคาร
ในการประเมินความเสียหายของอาคารหลังแผ่นดินไหวจะมีการใช้ป้ายสีเพื่อแบ่งระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น ได้แก่
- สีเขียว (อาคารสามารถใช้งานได้ตามปกติ): อาคารที่ไม่มีความเสียหายหรือมีความเสียหายเล็กน้อยซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน
- สีเหลือง (อาคารใช้งานได้แบบมีเงื่อนไข): อาคารที่มีความเสียหายปานกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานบางส่วน โดยต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม
- สีแดง (ห้ามใช้งานอาคาร): อาคารที่มีความเสียหายรุนแรงหรือเสี่ยงต่อการพังถล่ม ซึ่งไม่ควรให้ผู้ใดเข้าไปในอาคารจนกว่าจะมีการตรวจสอบโดยวิศวกร
การ "คัดกรอง" เบื้องต้น
รศ.ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา มจธ. กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ควรปฏิบัติเป็นอย่างแรกหลังแผ่นดินไหวผ่านไป คือ การสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นของอาคารต่างๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ตัวอาคารที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวได้รับการแก้ไขหรือซ่อมแซมให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าอาคารหลังนั้นยังมีความปลอดภัยต่อการพักอาศัยหรือใช้ประโยชน์
ปัจจุบันมีกลุ่มวิศวกรอาสาเข้ามาช่วยในการตรวจสอบและประเมินอาคารที่ได้รับความเสียหาย แต่ก็ยังไม่สามารถตรวจสอบอาคารในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีกว่าหมื่นอาคารอย่างครบถ้วนได้
ดังนั้น คู่มือการสำรวจความเสียหายขั้นต้นของโครงสร้างอาคารหลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่จัดทำโดย กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2560 ที่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบอาคารประเภทต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถนำมาใช้การตรวจสอบความเสียหายของอาคารหรือห้องของตนในเบื้องต้นได้
ในคู่มือเล่มนี้มีการระบุจุดที่ควรสำรวจความเสียหายในเบื้องต้น โดยใช้อุปกรณ์พื้นฐานอย่างตลับเมตร ไม้บรรทัด และเครื่องวัดระดับน้ำ ไปสำรวจตามจุดต่างๆ ในอาคารตามที่คู่มือระบุไว้ ซึ่งจะสามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าโครงสร้างหลักของอาคารได้รับเสียหายหรือไม่ ถือเป็นการคัดกรองเบื้องต้น และลดภาระในการตรวจสอบอาคารด้วยวิศวกรอาสาได้เป็นอย่างมาก เพราะหากสำรวจขั้นต้นแล้วไม่พบความเสี่ยง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้การสำรวจแบบละเอียดโดยวิศวกรโยธา ที่ต้องมีการใช้เครื่องมือพิเศษ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร
ความเสียหาย อาคาร กทม.-ปริมณฑล ระดับสีเขียว
รศ.ดร.ชัยณรงค์ กล่าวต่อว่า จากการเป็นวิศวกรอาสาในการตรวจสอบอาคารสูงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา พบว่าความเสียหายในอาคารที่เข้าไปตรวจเกือบทั้งหมดจะอยู่ใน 'ระดับสีเขียว'
"ระดับ 'สีเขียว' หมายถึงมีเพียงความเสียหายเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อการใช้งาน เช่น รอยร้าวบางจุดที่ผนัง หรือพื้นโก่งงอเล็กน้อย และยังไม่พบร่องรอยของความเสียหายที่โครงสร้างหลัก อย่าง เสา คาน หรือจุดต่อระหว่างองค์ประกอบหลักของอาคาร"
ทั้งนี้ อาคารในระดับ 'สีเขียว' สามารถใช้งานได้ตามปกติหลังจากเคลียร์เศษวัสดุหรือผนังที่หลุดร่อนแล้ว แตกต่างจากอาคารในระดับ 'สีเหลือง' ที่มีรอยแตกร้าวชัดเจนในส่วนของโครงสร้าง หรือมีชิ้นส่วนอาคารที่อาจร่วงหล่นใส่ผู้ใช้งาน ซึ่งจำเป็นต้องมีการห้ามใช้งานบางส่วนและต้องตรวจสอบเชิงลึกเพิ่มเติม







