สังคายนาระบบเตือนภัย ไทยพร้อมรับมือแผ่นดินไหวเมื่อไหร่?

สังคายนาระบบเตือนภัย ไทยพร้อมรับมือแผ่นดินไหวเมื่อไหร่?

ไทยต้องมีระบบ Early Warning System เพราะระบบเตือนภัยที่มีอยู่ปัจจุบันล่าช้าเกินไป ต้องปรับปรุง SOP ให้ทุกหน่วยงานแจ้งเตือนพร้อมกัน ไม่ใช่ส่งข้อมูลแบบขั้นตอนอนุกรม

KEY

POINTS

  • สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดเสวนา “สังคายนาระบบเตือนภัย”
  • ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวกระจายอยู่มากมาย
  • ชี้ไทยต้องมีระบบ Early Warning System ที่เป็น ‘Early’ จริง ๆ เพราะระบบเตือนภัยที่มีอยู่ปัจจุบัน ทำงานล่าช้าเกินไป
  • ต้องปรับปรุง SOP ให้ทุกหน่วยงานแจ้งเตือนพร้อมกัน ไม่ใช่ส่งข้อมูลแบบขั้นตอนอนุกรม
  • พิจารณาใช้ Cell Broadcast (SALC) ซึ่งไม่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ แต่สามารถส่งข้อมูลแจ้งเตือนตรงไปยังทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่มีจุดศูนย์กลางใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 (กรมอุตุนิยมวิทยา) หรือ 7.7 USGS ส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานคร ได้สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สินและชีวิต ดังนั้น เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา ในหัวข้อ “สังคายนาระบบเตือนภัย” เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมให้ข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็น

3 รอยเลื่อนที่ไทยต้องจับตา

ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวกระจายอยู่มากมาย ซึ่งเป็น ‘รอยเลื่อน’ ที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเมียนมา บางส่วนอยู่ในจีน และไทย

อย่างไรก็ตาม รอยเลื่อนในไทย นั้นมีขนาดเล็กกว่าและอัตราการเคลื่อนตัวต่ำกว่าทางฝั่งเมียนมา ขณะที่ในเมียนมาเอง มีรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกอินเดีย กับ แผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย ซึ่งเป็นแนวรอยเลื่อนที่พาดผ่านทะเลอันดามัน ไปจนถึงทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแหล่งที่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้

สังคายนาระบบเตือนภัย ไทยพร้อมรับมือแผ่นดินไหวเมื่อไหร่?

หลายสิบปีที่ผ่านมามีการประเมินความเสี่ยงของแผ่นดินไหว ทำให้เราทราบว่า มีรอยเลื่อนไม่กี่แหล่งที่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล หลักๆ 3 จุด ได้แก่

1. รอยเลื่อนใน จ.กาญจนบุรี – อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้สูงสุด แมกนิจูด 7.5 และมีโอกาสส่งผลถึงกรุงเทพฯ เนื่องจากอยู่ใกล้ (ประมาณ 200 กม.) ในอดีตเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ซึ่งมีผลกระทบต่อกรุงเทพฯ แม้ว่าในช่วงนั้นจะยังมีอาคารสูงไม่มาก

2. รอยเลื่อนสะกาย (Sagaing Fault) ในเมียนมา – แนวรอยเลื่อนลากผ่านบริเวณ มัณฑะเลย์-เนปีดอ-ย่างกุ้ง มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 และอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 400-1,000 กม.

3. แนวมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกอาระกัน (Arakan Subduction Zone) – ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของเมียนมา สามารถเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ระดับ 9 และอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 600-700 กม.

สาเหตุที่กรุงเทพฯมีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว เพราะมีลักษณะธรณีวิทยาพิเศษ คือ ตั้งอยู่บนแอ่งดินอ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแอ่งดินอ่อนนี้สามารถ ขยายแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้ถึง 3-4 เท่า

ระบบเตือนล่าช้ากว่าเหตุการณ์จริง

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ไทยต้องมีระบบ Early Warning System ที่เป็น ‘Early’ จริง ๆ เพราะระบบเตือนภัยที่มีอยู่ปัจจุบัน ทำงานล่าช้าเกินไป

“ควรแจ้งเตือนให้ทันเวลาก่อนที่จะเกิดผลกระทบ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลไม่ได้ถึงมือผู้ที่เกี่ยวข้องเร็วพอ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มัณฑะเลย์เกิดขึ้น เวลา 13:20 น. แรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพฯ ภายใน 7 นาที จากนั้น อาคาร สตง. พังถล่มประมาณ 13:26-13:27 น. แล้วกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ 13:36 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง 13:44 น. และ กสทช. มีการแจ้งประชาชนทั่วไปผ่าน SMS 14:30 น.

ซึ่งระบบแจ้งเตือนล่าช้ากว่าเหตุการณ์จริง เช่น ประกาศแจ้งเมื่ออาคารถล่มไปแล้ว ย่อมไม่สามารถลดความสูญเสียได้ นอกจากนี้ SMS แจ้งเตือนสามารถส่งได้เพียง 200,000-300,000 หมายเลขต่อชั่วโมง ซึ่งไม่เพียงพอต่อประชากรในกรุงเทพฯ ที่มี มากกว่า 12 ล้านคน”

โดย “รศ.ดร.เสรี” แนะแนวทางแก้ไขว่า ปรับปรุง SOP ให้ทุกหน่วยงานแจ้งเตือนพร้อมกัน ไม่ใช่ส่งข้อมูลแบบขั้นตอนอนุกรม พัฒนาระบบสื่อสารแจ้งเตือนให้ประชาชนรับรู้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอการส่ง SMS ที่ล่าช้า และพิจารณาใช้ Cell Broadcast (SALC) ซึ่งไม่ต้องใช้หมายเลขโทรศัพท์ แต่สามารถส่งข้อมูลแจ้งเตือนตรงไปยังทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง นี่เป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข และเป็นเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจและเน้นย้ำว่าต้องปรับปรุงระบบเตือนภัยให้ดีกว่าเดิม

สังคายนาระบบเตือนภัย ไทยพร้อมรับมือแผ่นดินไหวเมื่อไหร่?

ผู้บริโภคเรียกร้อง Emergency Alert

อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ทางสภาฯได้มีการเรียกร้องรัฐบาลให้มีระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน มาตั้งแต่จากเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค. 2566 ที่เยาวชนใช้อาวุธปืนกราดยิงประชาชนในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงเทพมฯ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

และกระทรวงมหาดไทยได้มีการตอบกลับเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ว่า ว่าทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2560 เพื่อดำเนินโครงการ Cell Broadcast (SALC) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2560 โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายจากปีงบฯ 2567 และจะผูกพันในปีงบฯ 2568 แต่ยังอยู่ระหว่างจัดทำข้อกำหนดรายละเอียดขอบเขตของงาน

“อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานสภาผู้บริโภคยังมีความสับสนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของงบประมาณ โดยล่าสุดมีรายงานว่าอาจใช้เงินจากกองทุน กสทช. ที่เรียกว่ายูโซ่ (USO) ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามตรวจสอบต่อไป นอกจากนั้น เราเกิดคำถามว่า การดำเนินโครงการล่าช้าเกินไปหรือไม่? เพราะนับตั้งแต่ปี 2565 ประเทศไทยประสบภัยพิบัติต่อเนื่อง"

อิฐบูรณ์ แนะนำด้วยว่า รัฐบาล ต้องเร่งปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัยให้เกิดผลเร็วขึ้น ไม่ใช่แค่ประกาศว่าจะใช้ Cell Broadcast แต่ต้องนำไปใช้งานจริง สร้างช่องทางแจ้งเตือนที่ครอบคลุมทุกคน เช่น ระบบสัญญาณไฟสำหรับผู้มีปัญหาทางการได้ยิน และเสียงแจ้งเตือนอัตโนมัติสำหรับผู้มีปัญหาทางสายตา และทบทวนโครงสร้างอำนาจการสั่งการแจ้งเตือน ให้กระชับและมีประสิทธิภาพ

ซ้อมหนีภัย เรียนรู้จากญี่ปุ่น

รศ.ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า ประเทศไทยยังขาดระบบฝึกซ้อมและองค์ความรู้ที่ต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีระบบแจ้งเตือนภัย แต่หากประชาชนไม่มีความรู้ในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง อาจเกิดความตื่นตระหนกและความเสียหายโดยไม่จำเป็น เช่น กรณี สึนามิ หลายคนไม่ทราบแนวทางหนีภัยและการรับมือ

“ในกรณีที่อยู่ภายในอาคารและมีวัตถุที่อาจหล่นลงมา เช่น โคมไฟ เพดาน หรือของตกแต่ง การมุดใต้โต๊ะเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันอันตรายจากแรงกระแทกโดยตรง แต่หากอยู่ในอาคารที่มีโครงสร้างไม่แข็งแรง ควรประเมินสถานการณ์ หากเห็นว่ามีความเสี่ยงที่จะถล่ม ควรรีบออกจากอาคารโดยใช้ บันไดหนีไฟ ไม่ควรใช้ ลิฟต์”

ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวรับมือแผ่นดินไหวตั้งแต่ระดับอนุบาล เด็กๆ ได้รับการฝึกให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ชัดเจน เช่น "หมอบ คลุม จับ" เพื่อป้องกันตนเองเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แนวทางที่ไทยควรพัฒนา คือ

  • พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ให้ครอบคลุมและเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว
  • สร้างองค์ความรู้ด้านภัยพิบัติให้ประชาชน ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงาน ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมที่ต่อเนื่อง
  • ฝึกซ้อมรับมือภัยพิบัติเป็นกิจวัตร โดยเน้นทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ และภัยอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในไทย