จุฬาฯ ระดมสมองข้ามศาสตร์ รับวิกฤติแผ่นดินไหว หาทางออกที่ยั่งยืน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระดมนักวิชาการหาแนวทาง รับมือรอยเลื่อน 4 ประเภท ไขข้อสงสัยความเชื่อผิดๆ และกฎหมายคุ้มครอง ความเสียหายอะไรบ้าง
KEY
POINTS
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยระดมความรู้ข้ามศาสตร์ ผนึกนักวิชาการหาแนวทางที่เป็นรูปธรรม
- รอยเลื่อนสำคัญๆ ที่ควรรู้ มี 4 ประเภท
- ความเชื่อผิดๆ การเตือนแผ่นดินไหวล่วงหน้าเป็นข้อมูลเท็จ เพราะปัจจุบันยังไม่สามารถทำนายได้
- ไทยมีกฎกระทรวงที่ควบคุมการออกแบบอาคารให้สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน
- กฎหมายคุ้มครองความเสียหายอะไรบ้าง
เหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 มีจุดศูนย์กลางใกล้เมืองมัณฑะเลย์ ในประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 (กรมอุตุนิยมวิทยา) หรือ 7.7 USGS ส่งผลให้แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานคร ไม่เพียงสร้างความตื่นตระหนกในสังคม แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงมาตรฐานด้านสถาปัตยกรรมและเสริมสร้างความพร้อมของเมืองหลวงในการรับมือกับภัยธรรมชาติ
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญขององค์ความรู้ข้ามศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงจัดงานเสวนา Chula the Impact ครั้งที่ 32 ภายใต้หัวข้อ "จุฬาฯ ระดมคิด ฝ่าวิกฤตแผ่นดินไหว: เราจะรับมือและฟื้นตัวได้อย่างไร?" เพื่อร่วมกันหาแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการรับมือกับสถานการณ์นี้
องค์ความรู้เพื่อรับมือและฟื้นตัว
ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเปิดงานว่า "Impact" หรือ "ผลกระทบ" สะท้อนถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยที่ไม่เพียงให้ความรู้และการศึกษา แต่ยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ตลอดระยะเวลา 108 ปี ของจุฬาฯ มีโครงการมากมายที่ช่วยเสริมสร้างความก้าวหน้าของสังคม และวันนี้มหาวิทยาลัยมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับวิกฤตการณ์แผ่นดินไหว
เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น เราต้องถามตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรให้ประเทศไทยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ งานเสวนาครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังจากหลากหลายศาสตร์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งศึกษาและสอนด้านการจัดการแผ่นดินไหวมากว่า 30 ปี พร้อมด้วย คณะวิทยาศาสตร์ ที่เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา และคณะอื่น ๆ เช่น คณะนิติศาสตร์ และ คณะนิเทศศาสตร์ ที่ช่วยเสริมมิติด้านกฎหมายและการสื่อสารในช่วงวิกฤต
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับแผ่นดินไหว
ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อมูลสำคัญในการลบล้างข้อผิดพลาดเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการเตือนว่าจะแผ่นดินไหวในเวลานั้นๆ ข้อมูลนั้นเป็นข้อมูลเท็จ เพราะในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถทำนายเวลา สถานที่ หรือความรุนแรงของแผ่นดินไหวได้
นอกจากนั้น หลายคนมักข้าใจผิดว่า แผ่นดินไหวตามมาด้วยการสั่นสะเทือนที่รุนแรงไม่แพ้กัน แต่ในความเป็นจริงการสั่นสะเทือนรองหรือ "อาฟเตอร์ช็อก" มักมีขนาดเล็กกว่าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง ส่วนแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูง เช่น แผ่นดินไหวที่มีขนาด 7.7 มักจะตามมาด้วยการสั่นสะเทือนรองหลายร้อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย
อีกเรื่องที่มีการเข้าใจผิดคือการแยกความแตกต่างระหว่างขนาด (Magnitude) และความรุนแรง (Intensity) ของแผ่นดินไหว โดยขนาดจะวัดจากพลังงานที่ปล่อยออกมาจากจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว ขณะที่ความรุนแรงจะวัดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพื้นที่และโครงสร้างต่างๆ ซึ่งความรุนแรงจะลดลงเมื่อห่างจากศูนย์กลาง
การเตรียมพร้อมในอนาคต
ศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประเทศเมียนมาร์ได้ระบุว่า รอยเลื่อนสะกาย ถือเป็นรอยเลื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรอยเลื่อนเหล่านี้เป็นเส้นทางที่ปรากฏขึ้นบนพื้นดินทั่วทั้งประเทศ โดยรวมแล้วมีจำนวนทั้งหมด 16 รอยเลื่อนที่ยังคงมีพลังและศักยภาพในการก่อให้เกิดแผ่นดินไหวในอนาคต การศึกษารอยเลื่อนนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อประเมินความเสี่ยงและเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
รอยเลื่อนมีทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่
1. รอยเลื่อนมีพลัง – ประกอบด้วย 16 รอยเลื่อนที่ยังคงมีศักยภาพในการสร้างแรงสั่นสะเทือนใต้ผิวโลก และอาจกระทบต่อพื้นที่กว้างขวางได้
2. รอยเลื่อนซ้อนเร้น – เป็นรอยเลื่อนที่ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่เคยเกิดขึ้นแล้วในบางพื้นที่ เช่น อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต, อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
3. รอยเลื่อนตาบอด – เป็นรอยเลื่อนที่ไม่มีการแสดงตัวออกมาอย่างชัดเจนหรือมีการเคลื่อนตัวที่ไม่สามารถตรวจจับได้ง่ายๆ ซึ่งเคยมีการเกิดแผ่นดินไหวที่จังหวัดพิษณุโลก โดยมักจะเกิดเป็นภัยเงียบใต้ดินที่ไม่สามารถมองเห็นหรือทำนายได้
4. รอยเลื่อนนอกสายตา – รอยเลื่อนประเภทนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับศักยภาพของรอยเลื่อนดังกล่าว
“แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่พื้นที่ที่มักเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง แต่ยังมีรอยเลื่อนที่ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่ยังมีการเคลื่อนไหวถึง 16 รอยเลื่อน รวมถึงรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอนที่เพิ่งมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเมื่อไม่นานมานี้ การศึกษารอยเลื่อนเหล่านี้มีความสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อาจจะมีความเสี่ยงซ่อนอยู่ ซึ่งอาจมีรอยเลื่อนที่ยังไม่ถูกตรวจพบ ซึ่งต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อระบุความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่”
ออกแบบอาคารรับแผ่นดินไหว
รศ.ดร.ฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีความพยายามในการป้องกันภัยจากแผ่นดินไหวและสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยได้มีการผลักดันให้มีกฎกระทรวงที่ควบคุมการออกแบบอาคารให้สามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ตั้งแต่ปี 2540
โดยเริ่มจากพื้นที่ภาคเหนือและจังหวัดกาญจนบุรี และในปี 2550 ได้เริ่มบังคับใช้ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรการให้เข้มงวดขึ้น แม้ว่าประชาชนอาจจะยังไม่ค่อยตระหนักถึงความสำคัญ เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ตรงจากแผ่นดินไหวมาก่อน
กรมโยธาธิการและผังเมืองได้กำหนดมาตรฐานความทนทานของอาคารต่อแผ่นดินไหว โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ หลังจากปี 2550 อาคารที่สร้างใหม่จะต้องออกแบบตามกฎกระทรวงนี้ ซึ่งจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว แต่กฎหมายนี้ยังไม่ครอบคลุมทุกประเภทอาคาร เช่น อาคารบ้านพักอาศัยที่สูงไม่เกิน 2 ชั้น
เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีความเสียหายต่อโครงสร้างหลักของอาคารและการพังทลายของบางอาคาร
“จุดที่ต้องระวังคือการตรวจสอบรอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างเสากับคาน ซึ่งถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างหลัก ส่วนผนังของอาคารนั้นยังถือว่าไม่น่าห่วงเท่าที่ควร
การตรวจสอบสภาพอาคารหลังเกิดแผ่นดินไหวควรได้รับการดำเนินการจากวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ หากโครงสร้างของอาคารเกิดการบิดเบี้ยวหรือเคลื่อนที่ การซ่อมแซมจะเป็นเรื่องที่ท้าทายและอาจไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ส่วนความเสียหายที่พบในคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะเป็นความเสียหายในส่วนของสถาปัตยกรรม เช่น รอยแตกร้าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก”
ในสถานการณ์เช่นนี้ที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงได้ง่าย หากทุกคนเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง จะช่วยลดความตื่นตระหนกได้อย่างมาก สิ่งสำคัญคือ หากทุกคนร่วมมือกันทำตามกฎหมายและมาตรการที่มีอยู่ ประเทศไทยจะยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน การเกิดเหตุการณ์นี้เป็นการกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในกรุงเทพฯ และเชื่อมั่นว่าทุกคนจะรับรู้และปฏิบัติตามข้อกำหนดเพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัย
กฎหมายที่ควรทราบ
ทางด้าน รศ.ดร.อังคณาวดี ปิ่นแก้ว จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือสาเหตุของความเสียหาย เช่น กรณีนี้ที่เกิดจากแผ่นดินไหว ผู้ที่อาศัยในคอนโดมิเนียมควรตรวจสอบกับนิติบุคคลว่าได้ทำประกันภัยไว้หรือไม่ และประกันนั้นครอบคลุมความเสียหายมากน้อยแค่ไหน สำหรับผู้ที่ทำประกันภัยกับธนาคารไว้แล้ว ก็ควรตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาประกันว่า คุ้มครองอะไรบ้าง
ในกรณีที่เพิ่งซื้อและยังไม่ได้เข้าอยู่ อาจต้องพิจารณาถึงการรับประกันความเสียหายจากการชำรุดบกพร่อง ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่สำหรับอาคารที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้น ควรตรวจสอบข้อสัญญาระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง โดยหากเป็นโครงการของภาครัฐ จะมีข้อกำหนดในสัญญามาตรฐานที่ระบุว่า ผู้รับจ้างจะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อสร้างก่อนการส่งมอบงานงวดสุดท้าย และหากผู้รับจ้างมีประกันภัย ก็จะต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย รวมถึงความเสียหายที่เกิดกับร่างกายของประชาชน ผู้เสียหายจะต้องเก็บรวบรวมหลักฐานเพื่อใช้ยืนยันสิทธิ์และขอรับการคุ้มครองตามกฎหมาย
ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จในเชิงกฎหมายอาญา ต้องพิจารณาที่เจตนาของการกระทำ หากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่านระบบคอมพิวเตอร์ จะถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ดังนั้น ก่อนที่จะทำการแชร์ข้อมูลใด ควรพิจารณาให้ดี เพราะอาจก่อให้เกิดความตระหนกและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้







