SPMF ทุ่ม 50 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรไทย ปฏิรูปนวัตกรรม สู่โอกาสยั่งยืน

ระบบอาหารที่มั่นคง ผ่านนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม ยกระดับภาคการเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน และใช้สารอารักขาพืชอย่างรับผิดชอบ
KEY
POINTS
- Sustainable Pesticide Management Framework (SPMF) ภายใต้แผนการลงทุน 500 ล้านบาท ใน 9 ประเทศในภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา
- ไทยเป็นประเทศสำคัญที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการในภูมิภาคเอเชีย ด้วยงบประมาณรวมกว่า 50 ล้านบาทที่จะดำเนินการในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี
- มุ่งเน้นการนำ 3 แนวทางหลักในการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืน
- เอื้อต่อเกษตรกรไทยในการเข้าถึงเครื่องมือ แนวปฏิบัติ และเทคโนโลยีในการอารักขาพืชที่ทันสมัย
- การใช้ผลิตภัณฑ์อารักขาพืชอย่างรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพ
- สร้างความมั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โลกได้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปวิธีการเกษตรและการใช้สารเคมีในอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีผลกระทบทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในประเทศที่เกษตรกรรมมีบทบาทสำคัญอย่างประเทศไทย การใช้สารเคมีในทางการเกษตรไม่เพียงแต่ทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค
ด้วยเหตุนี้ Sustainable Pesticide Management Framework (SPMF) จึงได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2564 โดยองค์กร CropLife International โดยโครงการมีระยะเวลา 5 ปี ภายใต้แผนการลงทุนมูลค่า 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 500 ล้านบาท) ใน 9 ประเทศในภูมิภาคแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 CropLife Asia ได้ประกาศให้ไทยเป็นประเทศสำคัญที่ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการในภูมิภาคเอเชีย โดยมีสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย (TAITA) เป็นตัวแทนของ CropLife Asia ในประเทศไทย เพื่อจัดการกับความท้าทายสำคัญต่างๆ เช่น การจัดการสารเคมีในเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนและปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความมั่นคงทางอาหาร
ภายใต้การขับเคลื่อนของ SPMF ในประเทศไทย จะช่วยให้ไทยก้าวข้ามความท้าทายที่เกษตรกรเผชิญ และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ที่ยั่งยืนและเป็นนวัตกรรม ด้วยงบประมาณรวมกว่า 50 ล้านบาทที่จะดำเนินการในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี
ระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืน
อนงค์นาถ จ่าแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่าง CropLife Asia และสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ในการพัฒนาและสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับประเทศไทย ว่า
กรอบความร่วมมือนี้ส่งเสริมการจับมือกับภาครัฐและเอกชน การพัฒนากฎระเบียบที่มีประสิทธิภาพ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ เพื่อปกป้องสุขภาพมนุษย์ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเพิ่มศักยภาพการผลิตทางการเกษตร
โดยมองว่าสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน กรอบความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขความท้าทายของเกษตรกรไทยในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังช่วยเปิดโอกาสให้กับการนำนวัตกรรมทางการเกษตร และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการจัดการและการผลิต เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมในทุกมิติ
รัฐบาลไทยได้ประกาศนโยบายอย่างท้าทายในการมุ่งเป้าเพิ่มรายได้ของเกษตรกรให้เป็น 3 เท่าภายในสี่ปี ผ่านการเชื่อมโยงตลาดและนวัตกรรมเป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ภาคการเกษตรไทยจ้างงานประมาณ 30% ของแรงงานทั้งประเทศและมีส่วนสนับสนุน GDP ของไทยประมาณ 10%
เทคโนโลยีนวัตกรรม การเชื่อมโยงตลาด และเครื่องมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้นสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น โดรน ที่เริ่มมีบทบาทโดดเด่นและสร้างผลกระทบมากขึ้นสำหรับเกษตรกรไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญในด้านการเงิน ความยั่งยืน และกฎหมาย
3 แนวทางหลักปฏิรูปโครงสร้าง
โครงการนี้มุ่งเน้นการนำ 3 แนวทางหลักในการปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืน
- ส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนผ่านมาตรการจัดการความเสี่ยงที่โปร่งใสและนวัตกรรมทางการเกษตรขั้นสูง
- เพิ่มการเข้าถึงนวัตกรรมโดยการสนับสนุนกฎระเบียบและการกำกับดูแลของภาครัฐที่เอื้อต่อเกษตรกรไทยในการเข้าถึงเครื่องมือ แนวปฏิบัติ และเทคโนโลยีในการอารักขาพืชที่ทันสมัย
- การใช้ผลิตภัณฑ์อารักขาพืชอย่างรับผิดชอบและมีประสิทธิภาพด้วยการอบรมเกษตรกรและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการจัดการ ควบคุมดูแล (stewardship) พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยจะมีมาตรการบริหารจัดการตลอดกระบวนการที่เกี่ยวข้องในการใช้สารอารักขาพืชอย่างมีความรับผิดชอบ
ผลกระทบสภาพภูมิอากาศ
ซิโมน บาร์ก ประธาน CropLife Asia กล่าวว่า SPMF ในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการนำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาร่วมมือกันขับเคลื่อนแนวทางใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ความร่วมมือใหม่ และกรอบกฎระเบียบที่จะช่วยให้เกษตรกรมีเครื่องมือที่จำเป็นและสมควรได้รับ เพื่อสร้างระบบอาหารระดับประเทศที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น
พอล ลักซ์ตัน รองประธาน CropLife Asia กล่าวว่า ความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยแล้งและน้ำท่วมที่สร้างความเสียหาย รวมถึงศัตรูพืชและโรคระบาดที่มากขึ้น ทำให้งานของเกษตรกรไทยยากลำบากกว่าที่เคย
เกษตรกรเหล่านี้คือวีรบุรุษด้านอาหารของไทยและสมควรได้รับการสนับสนุนจากพวกเรา SPMF ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนความร่วมมือตลอดห่วงโซ่คุณค่าอาหารเพื่อช่วยให้เกษตรกรรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ และช่วยให้สามารถเพาะปลูกพืชได้มากขึ้นอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
กล้วยไม้ นุชนิยม นายกสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย กล่าวว่า TAITA ในฐานะผู้เล่นสำคัญ สามารถนำความเชี่ยวชาญ ความรู้ และนวัตกรรมมาเสริมสร้างมาตรฐานการกำกับดูแลและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้วยการผลักดันนโยบายที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ ส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด และมอบเทคโนโลยีล้ำสมัยให้แก่เกษตรกร
ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตและความมั่นคงทางอาหาร เราจะสามารถยกระดับสถานะของประเทศไทยในเวทีโลกและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้
ปฏิรูปนวัตกรรมการเกษตร
วีรพล เจริญพานิช รองนายกสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย กล่าวว่า การดำเนินงาน SPMF ในประเทศไทย จะเป็นแนวทางในการปฏิรูปนวัตกรรมการเกษตรร่วมกับแนวทางปฏิบัติที่ทันสมัยอย่างผสมผสาน ด้วยการผนึกกำลังของพันธมิตรจากหลากหลายภาคส่วน และการนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างเช่นโดรนมาประยุกต์ใช้
"เราจะสามารถช่วยให้เกษตรกรไทยปรับวิธีการทำเกษตรไปสู่แนวทางที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้ทรัพยากรต่างๆ รวมถึงลดการใช้น้ำทางการเกษตรซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุน
แต่ยังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย กรอบความร่วมมือนี้กำลังจะแสดงให้เห็นว่านวัตกรรมและความร่วมมือสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนให้กับภาคการเกษตรของไทย”
SPMF ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
ขวัญชัย แตงทอง เกษตรกรทำนาดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2562 กล่าวว่า ตนเองใส่ใจทุกขั้นตอนของการปลูกข้าว ใช้เทคโนโลยีอย่างโดรนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การนำวิธีการทันสมัยเหล่านี้มาใช้ช่วยให้ผมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มมูลค่าให้กับการเกษตร
"โครงการ SPMF ชีวิตความเป็นอยู่ของผมดีขึ้น ทำให้ผมสามารถนำแนวทางการทำเกษตรที่ยั่งยืนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมมีความหลงใหลในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และภูมิใจที่ได้แบ่งปันความรู้กับเพื่อนเกษตรกร เพื่อให้เราทุกคนก้าวหน้าไปด้วยกันสู่อนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้น"







