River vs. Village ความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในโลกสมัยใหม่

ผมมีโอกาสได้อ่านแนวคิด “River” และ “Village” จากหนังสือ “On the Edge” ของ Nate Silver ซึ่งนำเสนออย่างน่าสนใจถึงแนวทางการมองโลกของผู้คน 2 แบบที่แตกต่างกัน คนกลุ่มแรก “ชนเผ่าสายน้ำ” (River) เป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับการคำนวณความเสี่ยงและการวิเคราะห์ทางสถิติ ส่วนอีกกลุ่ม “ชนเผ่าหมู่บ้าน” (Village) เป็นตัวแทนของกลุ่มที่ยึดมั่นในบรรทัดฐานทางสังคมและศีลธรรม แนวคิดนี้สามารถอธิบายอะไรได้หลายอย่างในปัจจุบัน
“Nate Silver” ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นนักสถิติ นักพยากรณ์ และนักเขียนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงในการใช้แบบจำลองทางสถิติวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำนายเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงการเมือง กีฬา และเศรษฐกิจ เป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ FiveThirtyEight ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ผลเลือกตั้งในสหรัฐ และเป็นหนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลในแวดวงการคำนวณความน่าจะเป็นและการพยากรณ์ข้อมูล
เขาให้แนวคิดว่า “ชนเผ่าสายน้ำ” เป็นสัญลักษณ์ของคนที่ตัดสินใจโดยอาศัยตรรกะ สถิติ และการคำนวณความเสี่ยง ยอมรับความไม่แน่นอนและมองชีวิตเป็นเกมที่ต้องเล่นด้วยกลยุทธ์ที่ดีที่สุด เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไปตามโอกาส ชนเผ่าสายน้ำปรับตัวตามข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง ใช้ทฤษฎีเกม (Game Theory) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่วิเคราะห์ว่าผู้เล่นแต่ละคนควรเลือกกลยุทธ์อย่างไรเมื่อผลลัพธ์ของพวกเขาขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อื่น
ชนเผ่าสายน้ำยังใช้การคิดแบบเบย์เซียน (Bayesian Thinking) ซึ่งหมายถึงการใช้ข้อมูลใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการคาดการณ์อยู่เสมอ ชนเผ่าสายน้ำยอมรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เน้นการตัดสินใจที่คำนวณมาแล้วว่าคุ้มค่า หากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง ก็พร้อมปรับตัวและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดตามหลักเหตุผล
ส่วนอีกฝ่ายคือชนเผ่าหมู่บ้าน (Village) เป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและกฎเกณฑ์ทางสังคม กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ ระบบที่เป็นระเบียบ และแนวคิดที่ยึดโยงกับศีลธรรมมากกว่าการคำนวณทางสถิติ ชนเผ่าหมู่บ้านเชื่อว่าการรักษาสมดุลและความเป็นธรรมสำคัญกว่าผลลัพธ์เชิงคณิตศาสตร์ เช่น นักการเมืองที่ออกนโยบายเพื่อความมั่นคง หรือสังคมที่ต่อต้านเทคโนโลยีที่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดั้งเดิม
ชนเผ่าหมู่บ้านเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการอยู่ร่วมกันในสังคม การเคารพกฎเกณฑ์และศีลธรรม มากกว่าการคำนวณความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ พวกเขาจึงตัดสินใจโดยอิงจากสิ่งที่ถูกต้องหรือผิดมากกว่าการวิเคราะห์ตัวเลข มองว่าการตัดสินใจควรมีบริบททางประวัติศาสตร์และสังคม ชนเผ่าหมู่บ้านให้ความสำคัญกับกฎระเบียบและสถาบันทางสังคม สนับสนุนบทบาทของรัฐบาลและกฎหมายในการควบคุมเศรษฐกิจและสังคม และมองว่าการแข่งขันทางเศรษฐกิจควรถูกกำกับดูแลเพื่อความเป็นธรรม มากกว่าปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี
ชนเผ่าหมู่บ้านเชื่อว่าการทำงานร่วมกันและความเห็นพ้องต้องกันสำคัญกว่าการชนะหรือแพ้ พวกเขาสนับสนุนนโยบายรัฐสวัสดิการและการควบคุมความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังอาจมองว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากอย่างปัญญาประดิษฐ์ที่ขาดการควบคุมอาจเป็นภัยคุกคามต่อสังคม และกังวลว่าปัญญาประดิษฐ์และข้อมูลขนาดใหญ่อาจถูกใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่สนใจผลกระทบต่อมนุษย์ จึงสนับสนุนการควบคุมและการกำกับดูแลเทคโนโลยีให้มากขึ้น
ในขณะที่ ชนเผ่าสายน้ำมักไม่ชอบแนวคิดอนุรักษนิยมและการตัดสินใจที่มาจากอารมณ์หรืออุดมการณ์ทางการเมือง และมองว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับ “การใช้ข้อมูล” มากกว่า “ความเชื่อหรือกฎเกณฑ์ทางสังคม” ชนเผ่าสายน้ำมองว่าชนเผ่าหมู่บ้านอ่อนไหวเกินไปและให้ความสำคัญกับอุดมการณ์มากกว่าข้อเท็จจริง ในขณะที่ชนเผ่าหมู่บ้านมองว่าชนเผ่าสายน้ำเป็นคนเย็นชาและไม่สนใจผลกระทบทางสังคมหรือศีลธรรม
ในช่วงโควิด-19 ชนเผ่าสายน้ำอาจสนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด เพราะเห็นว่าความเสี่ยงสามารถจัดการได้ ขณะที่ชนเผ่าหมู่บ้านจะเน้นเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก แม้ว่าจะต้องแลกกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าสายน้ำกับชนเผ่าหมู่บ้านปรากฏชัดในหลายประเด็น เช่น เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี ชนเผ่าสายน้ำมองว่าการยอมรับความเสี่ยงและการใช้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ขณะที่ชนเผ่าหมู่บ้านมองว่าการรักษากฎเกณฑ์ทางศีลธรรมและความเป็นธรรมในสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็น ชนเผ่าสายน้ำมองว่าเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ เป็นโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรม ในขณะที่ชนเผ่าหมู่บ้านกังวลถึงผลกระทบต่อแรงงาน ความเป็นส่วนตัว และโครงสร้างสังคม
การเข้าใจกลุ่มคนสองชนเผ่านี้ช่วยให้เราสามารถปรับตัวและเลือกใช้แนวคิดที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจจุดยืนของทั้งสองฝ่ายช่วยลดความขัดแย้งและสร้างพื้นที่สำหรับการทำงานร่วมกัน สำหรับผู้ที่ต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น นักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้บริหาร แนวคิดของชนเผ่าสายน้ำจะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จ ในขณะที่ผู้ที่ทำงานในสายงานที่เกี่ยวข้องกับสังคม เช่น นักข่าว นักวิชาการ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แนวคิดของชนเผ่าหมู่บ้านจะช่วยให้พิจารณาผลกระทบเชิงศีลธรรมและสังคมได้ดีขึ้น
แนวคิดแบบชนเผ่าสายน้ำช่วยส่งเสริมการทดลองสิ่งใหม่ๆ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา ในขณะที่ชนเผ่าหมู่บ้านช่วยเตือนถึงผลกระทบทางจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม การเห็นสองมุมนี้ไปพร้อมกันช่วยให้เราเข้าใจโลกจากมุมมองที่หลากหลายและสามารถนำไปปรับใช้ในการตัดสินใจหรือแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำให้เราไม่ละเลยทั้งเหตุผลและคุณค่าทางสังคม





