‘ครีมกันแดด’ ปนเปื้อนตามแนวปะการังปีละหมื่นตัน อันตรายต่อสัตว์ทะเล

‘ครีมกันแดด’ ปนเปื้อนตามแนวปะการังปีละหมื่นตัน อันตรายต่อสัตว์ทะเล

ส่วนผสมใน “ครีมกันแดด” ที่มีคุณสมบัติบล็อก “รังสียูวี” อาจทำให้ “ปะการังฟอกขาว” และกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเล

KEY

POINTS

  • ในแต่ละปี มีสารกรองยูวีประมาณ 6,000-14,000 ตัน ปะปนอยู่ในทะเลบริเวณแนวปะปะการัง
  • โดยทั่วไปแล้วครีมกันแดดสูตรออร์แกนิกจะมีสารกรองแสงประมาณ 3-8 ชนิด
  • การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบโอโซน ไม่สามารถลดความเป็นพิษของสารกรองรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ครีมกันแดด” กลายเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบันที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ ตลาดครีมกันแดดทั่วโลกกำลังเฟื่องฟู คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 13,600 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 แม้ว่าครีมกันแดดจะดีต่อผิวมนุษย์ แต่ครีมกันแดดกลับทำลายสัตว์ทะเล และระบบนิเวศอีกด้วย

ครีมกันแดดส่วนใหญ่ และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลหลายชนิด เช่น แชมพู มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ลิปสติก เจลอาบน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ยาง สี ซีเมนต์ และพลาสติก ล้วนมีสารเคมีที่กรองรังสีอัลตราไวโอเลต หรือ “รังสียูวี”(UV) ของดวงอาทิตย์ เพิ่มความต้านทานแสงแดด และป้องกันการย่อยสลายได้โดยแสง (Photodegradation)

การศึกษาที่ตีพิมพ์โดยวารสารมลพิษทางทะเล Bulletin ตรวจสอบข้อมูลสิ่งพิมพ์มากกว่า 110 ฉบับที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสารกรองรังสีอัลตราไวโอเลตในครีมกันแดด   กับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและทางนิเวศวิทยา พบว่า ในแต่ละปี มีสารกรองยูวีประมาณ 6,000-14,000 ตัน ปะปนอยู่ในทะเลบริเวณแนวปะปะการัง 

ข้อมูลจากการศึกษาระบุว่า ในแต่ละครั้งผู้คนใช้ครีมกันแดดประมาณ 36 กรัม โดยมีอย่างน้อย 25% ถูกชะล้างออกไประหว่างเล่นน้ำทะเล และชายหาดเพียงแห่งเดียวที่มีนักท่องเที่ยว 1,000 คนอาจมีคราบครีมกันแดดตกค้างมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อวัน

ตอนนี้สามารถพบสารกรองรังสียูวี ในสภาพแวดล้อมทางทะเลทั่วโลก ตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ไปจนถึงสถานที่ห่างไกลเช่นแอนตาร์กติกา โดยสารประกอบเหล่านี้สามารถเข้าสู่พื้นที่ทางทะเลโดยตรงจากกิจกรรมทางทะเลของมนุษย์ เช่น ว่ายน้ำ และทางอ้อมด้วยการอาบน้ำฝักบัวอาบน้ำชายหาด การซักผ้าขนหนูที่ใช้เช็ดผิวที่เคลือบครีมกันแดดให้แห้ง หรือแม้แต่ในปัสสาวะ

การศึกษาวิจัยพบว่าทรายรอบ ๆ ฝักบัวอาบน้ำที่ชายหาดในอ่าวฮานาอูมา ฮาวาย มีการปนเปื้อนสารตกค้างจากครีมกันแดดในปริมาณมาก ซึ่งระดับของสารเหล่านี้สัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มายังชายหาดแห่งนี้

เนื่องด้วยสารกรองยูวีแต่ละชนิดสามารถดูดซับคลื่นแสงได้จำกัด ดังนั้นในครีมกันแดดจึงมีสารกรองแสงยูวีหลายชนิด เพื่อป้องกันรังสียูวีให้ได้ทั้งหมด ในปัจจุบันทั่วโลกได้ขึ้นทะเบียนสารประกอบทางเคมีที่ทำหน้าที่เป็นสารกรองแสงยูวีทั้งสิ้น 55 ชนิด โดยทั่วไปแล้วครีมกันแดดสูตรออร์แกนิกจะมีสารกรองแสงประมาณ 3-8 ชนิด

สารประกอบที่พบมากที่สุดที่พบในสารกรองยูวี คือ สารประกอบกลุ่มเบนโซฟีนอล (Benzophenone) ซึ่งนิยมในครีมกันแดดและเครื่องสำอาง ทำหน้าที่กันรังสียูวีบี และได้รับการระบุว่าเป็นสารที่คงที่ทางชีวภาพและสารพิษ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานแบบเทียม หรือสาร P-POPs 

ปัจจุบันสารประกอบเบนโซฟีนอลมีทั้งสิ้น 14 ชนิด โดยเบนโซฟีโนน-3 อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของหน่วยงานสารเคมีแห่งยุโรปในปัจจุบัน เนื่องจาก กำลังสอบสวนว่าเป็นสารเคมีที่รบกวนการทำงานของฮอร์โมนหรือไม่

แอนเนอลิเซ ฮ็อดจ์ หัวหน้าคณะผู้จัดทำการศึกษาและนักวิจัยระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพลีมัธกล่าวว่า “การวิจัยปัจจุบันยังเพิ่งเริ่มต้นทำความเข้าใจว่าสารเคมีเหล่านี้ส่งผลต่อชีวิตในทะเลได้อย่างไรเท่านั้น สิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษก็คือสารประกอบเหล่านี้ถือเป็นสารพิษที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เนื่องจากสารประกอบเหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งลงสู่ทะเลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเรายังไม่รู้ว่าสารเคมีเหล่านี้มีปฏิกิริยากับสารเคมีอื่น ๆ ในทะเลอย่างไร”

เนื่องจากการขยายตัวของเมืองชายฝั่งและการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้นักวิจัยต้องเร่งศึกษา และทำความเข้าใจผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสารกรองรังสียูวี ว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างไร เพื่อนำมาใช้พัฒนากลยุทธ์การปกป้องสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากสารกรองรังสียูวีจะพบในทะเลแล้ว ยังตรวจพบมลพิษเหล่านี้ในพื้นที่เกษตรกรรม รายงานว่าพบสารกรองแสงยูวีอินทรีย์ในน้ำเสีย 95% และน้ำผิวดิน 86% ซึ่งเมื่อเกษตรใช้น้ำรีไซเคิลจากโรงบำบัดน้ำเสีย หรือนำสิ่งปฏิกูลและกากตะกอนจากน้ำเสียมาทำเป็นปุ๋ยชีวภาพ สารปนเปื้อนเหล่านี้จะแพร่กระจายไปยังพืชผล และส่งผลกระทบต่อไปถึงน้ำผิวดิน ตลอดจนกลไกระบายน้ำทางการเกษตรที่ไหลลงสู่สภาพแวดล้อมทางน้ำด้วย 

ยิ่งไปกว่านั้น การบำบัดน้ำเสียด้วยระบบโอโซน เพื่อกำจัดสารมลพิษจากน้ำและน้ำเสีย ที่มักใช้ในโรงบำบัดน้ำเสียในการย่อยสลายสารมลพิษอินทรีย์  ไม่สามารถลดความเป็นพิษของสารกรองรังสียูวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ดร.ฟรานเซส ฮอปกินส์ ผู้เขียนร่วม ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะวิจัยและนักชีวธรณีเคมีทางทะเลที่ห้องปฏิบัติการทางทะเลพลีมัธ กล่าวว่า “บทความนี้เน้นย้ำถึงอันตรายของสารเคมีในครีมกันแดดที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลในปริมาณมหาศาล แต่เรากลับไม่รู้เลยว่ามันจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอย่างไร”

ทั้งนี้ ดร.ฮอปกินส์กล่าวเสริมด้วยว่า ปัจจุบันกิจกรรมที่เกิดจากมนุษย์ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทางทะเลอยู่ในภาวะวิกฤติ ไม่ว่าจากคลื่นความร้อน ปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูม ไปจนถึงภาวะโลกร้อนและความเป็นกรดในมหาสมุทรในระยะยาว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางลดมลพิษทางเคมีลง ไม่ให้ท้องทะเลต้องเผชิญกับอันตรายมากกว่านี้

นักวิจัยจำเป็นต้องเพิ่มการวิจัยในยุโรปตอนเหนือ แอฟริกา อเมริกาใต้ ภูมิภาคอาร์กติกและแอนตาร์กติกา และประเทศหมู่เกาะ เพื่อศึกษาผลกระทบระยะยาวจากการสัมผัสของสารเคมีในครีมกันแดดของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ในแต่ละช่วงชีวิต เพื่อระบุให้ได้ว่าสารเคมีเหล่านี้เคลื่อนตัวผ่านห่วงโซ่อาหารในทะเลได้อย่างไร รวมไปถึงพัฒนาสารกรองรังสียูวีรูปแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น


ที่มา: Ocean Graphic MagazinePhysThe Guardian