ไทยหลุดประเทศเสี่ยงสภาพภูมิอากาศ ดัชนี CRI 2025 อันดับดีขึ้นจาก 9 ไป 30

ไทยหลุดประเทศเสี่ยงสภาพภูมิอากาศ ดัชนี CRI 2025 อันดับดีขึ้นจาก 9 ไป 30

Climate Risk Index: CRI 2025 จัดทำโดย Germanwatch วิเคราะห์และครอบคลุมประเทศต่างๆ ทั่วโลก สะท้อนถึงแนวโน้มของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทั้งรายปีและแนวโน้มระยะยาว 30

KEY

POINTS

  • Climate Risk Index (CRI) 2025 จัดทำโดย Germanwatch วิเคราะห์ครอบคลุมประเทศต่างๆ ทั่วโลก
  • สะท้อนถึงแนวโน้มของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศทั้งรายปี และแนวโน้มระยะยาว 30 ปี
  • ช่วง 30 ปี (1993-2022) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ลดลงจากอันดับ 9 เทียบกับ 4 ปีที่แล้ว (ช่วงปี 2000-2019)

ดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk Index : CRI) 2025 ซึ่งจัดทำโดย Germanwatch มาตั้งแต่ปี 2006 แสดงการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก ระยะยาวในช่วง 30 ปี

และจัดอันดับประเทศต่างๆ ตามผลกระทบทางมนุษย์และเศรษฐกิจที่เกิดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น พายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน และอื่นๆ ฉบับล่าสุดนี้เน้นย้ำถึงการสูญเสียที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจำเป็นต้องมีการเพิ่มความเข้มแข็งในการรับมือกับสภาพภูมิอากาศและการดำเนินการที่แข็งแกร่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ช่วง 30 ปี (1993-2022) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30  ลดลงจากอันดับ 9 เทียบกับ 4 ปีที่แล้ว (ช่วงปี 2000-2019) แต่ยังต้องเตรียมพร้อมตั้งรับและปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนภายใต้ภาวะโลกเดือดอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ จัดทำขึ้นโดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น ฐานข้อมูลเหตุการณ์ภัยพิบัติระดับสากล (EM-DAT) ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ และความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ น้ำท่วม คลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า วิธีการนี้จะสามารถเปรียบเทียบผลกระทบของภัยพิบัติในประเทศต่างๆ และสะท้อนถึงแนวโน้มของความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศในแต่ละปี และแนวโน้มระยะยาว 30 ปี

รายงานแบ่งประเทศออกเป็นสองกลุ่ม คือ

  • ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงที่ไม่ธรรมดา
  • ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเป็นระยะๆ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สภาพภูมิอากาศ ส่งผลเสียร้ายแรง

CRI 2025 ระบุว่าในช่วงปี 1993 ถึง 2022 มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 765,000 คน และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงเกือบ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปรับตามเงินเฟ้อ) จากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงกว่า 9,400 ครั้ง ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศยังคงเพิ่มขึ้น เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ
 

10 ประเทศเสียงที่สุดระยะยาว

ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่ยังไม่ได้พัฒนาต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติสภาพภูมิอากาศเป็นหลัก โดยมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตมนุษย์และเศรษฐกิจ

10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง (1993-2022) คือ

  • อันดับ 1 โดมินิกา : ประเทศในแถบแคริบเบียนนี้ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนและพายุโซนร้อนอย่างมาก ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียทางมนุษย์และเศรษฐกิจที่สำคัญ
  • อันดับ 2 จีน : น้ำท่วม ไต้ฝุ่น และคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
  • อันดับ 3 ฮอนดูรัส : ประเทศนี้เผชิญกับพายุเฮอร์ริเคนและพายุโซนร้อนหลายครั้ง ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก
  • อันดับ 4 เมียนมา : ไซโคลนและน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อเมียนมาร์อย่างมาก
  • อันดับ 5 อิตาลี : เผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น น้ำท่วมและคลื่นความร้อน ทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมาก
  • อันดับ 6 อินเดีย : มีภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น คลื่นความร้อน ไซโคลน และน้ำท่วม ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 80,000 คน
  • อันดับ 7 กรีซ : เผชิญกับไฟป่าและคลื่นความร้อน
  • อันดับ 8 สเปน : ได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนและน้ำท่วม ทำให้เกิดผลกระทบทางมนุษย์และเศรษฐกิจมาก
  • อันดับ 9 วานูอาตู : ประเทศเล็กๆ ในแถบเกาะนี้ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงสูง
  • อันดับ 10 ฟิลิปปินส์ : เผชิญกับพายุโซนร้อนหลายครั้งต่อปี ทำให้เกิดความเสียหายและการสูญเสียชีวิตอย่างมาก

10 ประเทศรับผลกระทบมากที่สุดในปี 2022

รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในปี 2022 ประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรง 10 อันดับ ได้แก่

  1. ปากีสถาน
  2. เบลีซ
  3. อิตาลี
  4. กรีซ
  5. สเปน
  6. เปอร์โตริโก
  7. สหรัฐอเมริกา
  8. ไนจีเรีย
  9. โปรตุเกส
  10. บัลแกเรีย

ไทยหลุดประเทศเสี่ยงสภาพภูมิอากาศ ดัชนี CRI 2025 อันดับดีขึ้นจาก 9 ไป 30

ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูง

กรมลดโลกร้อน เผยการจัดอันดับ Climate Risk Index 2025 ไทยหลุดอันดับประเทศเสี่ยงสูงจาก 9 ไปอันดับ 30

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จากรายงาน Climate Risk Index 2025 โดย Germanwatch ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า ผลกระทบที่สำคัญที่สุดจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ได้แก่ พายุ (35%) คลื่นความร้อน (30%) และอุทกภัย (27%) ที่เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต

โดยอุทกภัยส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด คิดเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ขณะที่พายุก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุด คิดเป็น 56% ของมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งหมด หรือประมาณ 2.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รองลงมาคือ อุทกภัย คิดเป็น 32% หรือประมาณ 1.33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งรายงานเตือนว่า แนวโน้มสภาพอากาศสุดขั้วกำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” โดยเหตุการณ์ที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ กำลังกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น และรุนแรงขึ้น

ไทยบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดร.พิรุณ กล่าวว่า ในปี 2022 ประเทศไทยมีค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศรายปีอยู่ในอันดับที่ 72 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยลดลง เมื่อเทียบกับปี 2019 ที่อยู่ในอันดับ 34

ในขณะที่ค่าดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 30 ปี (1993-2022) พบว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 30 แสดงถึงผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วของไทยในระยะยาว ลดลงเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว ที่อยู่ในอันดับ 9 โดยขณะนั้นเป็นการประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงระยะเวลา 20 ปี (2000-2019)

2 ปัจจัยส่งอับดับไทยดีขึ้น

สาเหตุที่อันดับของประเทศไทยลดลงอย่างมาก มาจากหลายปัจจัย เช่น ตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประเทศอื่นๆ เผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศที่รุนแรงกว่า

สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยลดลงเนื่องจากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรับปรุงวิธีการประเมินดัชนีความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มตัวชี้วัดจำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ และปรับเปลี่ยนช่วงระยะเวลาที่นำมาใช้ในการประเมินดัชนีความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศระยะยาว จากเดิม 20 ปี เป็น 30 ปี

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงแล้ว แต่ประเทศไทยจะยังคงเผชิญกับผลกระทบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูร้อน ภัยแล้ง ปริมาณฝนที่ตกหนักผิดปกติ จนส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม เป็นต้น

"สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมรับมือและการปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพระบบเตือนภัยล่วงหน้า ให้มีความแม่นยำ การสื่อสารที่เข้าถึงประชาชนอย่างทันท่วงที การพัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดอุณหภูมิโลก เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยและคนไทยมีภูมิคุ้มกันต่อภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต” ดร.พิรุณ  กล่าวทิ้งท้าย