ประชุมสุดท้ายปี 2568 สนธิสัญญาพลาสติกโลก เรียกร้องไทยแสดงจุดยืนเข้มแข็ง

ประชุมสุดท้ายปี 2568 สนธิสัญญาพลาสติกโลก เรียกร้องไทยแสดงจุดยืนเข้มแข็ง

การประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลกเดินทางมาถึงครั้งที่ 5.2 หลังจากครั้งที่ผ่านมาไม่บรรลุผล เสียงของประเทศต่างๆ แตกออกเป็นสองกลุ่ม โดย INC 5.2 จะจัดขึ้นในปี 2568 นี้

KEY

POINTS

  • การประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลกเดินทางมาถึงครั้งที่ 5.2 หลังจากครั้งที่ผ่านมาไม่บรรลุผล
  • INC 5.2 จะจัดขึ้นในปี 2568 นี้
  • เสียงแตกเป็น 2 กลุ่ม ประเทศสนับสนุนและต่อต้าน
  • ไปกันต่อ INC-5.2 ยังไงดี? สนธิสัญญาพลาสติกโลก
  • ใน INC5 ตัวแทนบริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีเข้าร่วมถึง 220 คน เป็นข้อกังวลการลดใช้และผลิตพลาสติกจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและจัดทำมาตรการที่หันเห
  • หากการเจรจาครั้งที่ 5.2 ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย โลกจะมีโอกาสอีกสักกี่ครั้งที่จะได้เข้าใกล้การแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติก
     

การประชุมเจรจาเพื่อให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกเดินทางมาถึงครั้งที่ 5.2 (Intergovernmental Negotiating Committee : INC-5 ) โดยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2565 ระหว่างการประชุมครั้งที่ห้าของสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environmental Assembly : UNEA) มติประวัติศาสตร์ (5/14) ถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนากฎหมายที่มีผลผูกพันเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก

มติ 5/14 นี้มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นการขอให้ผู้อำนวยการบริหารของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) จัดตั้งคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาล (INC) เพื่อพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก

ที่ผ่านมาคณะกรรมการ INC ได้จัดการประชุมครั้งแรก (INC-1) ที่เมืองปุนตา เดล เอสเต้ ประเทศอุรุกวัย ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2565 การประชุมครั้งถัดไปจัดขึ้นที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส (INC-2), ไนโรบี ประเทศเคนยา (INC-3) และออตตาวา ประเทศแคนาดา (INC-4) และการประชุมครั้งที่ห้า (INC-5) ณ เมืองปูซาน เกาหลีใต้เป็นการสรุปความพยายามที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ผลการเจรจา INC-5 ไม่บรรลุผล แม้ว่ามีประเทศกว่า 100 ประเทศร่วมลงชื่อสนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่มุ่งมั่นและสนับสนุน “การตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก” ซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างจริงจังและร่วมยืนหยัดต่อเป้าหมายนี้ แต่ยังมีหลายประเทศปฏิเสธที่จะยอมรับประเด็นข้างต้น จึงได้มีการต่อเวลาการเจรจา จนเกิดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง และจะเป็นครั้งสุดท้าย หรือที่เรียกว่า INC 5.2 ซึ่งจะจัดขึ้นในปี 2568 นี้

เสียงแตกเป็น 2 กลุ่ม สนับสนุนและต่อต้าน

ประเทศที่เข้าร่วมการเจรจา INC-5 ยังคงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

  • กลุ่มประเทศผู้สนับสนุนสนธิสัญญาประกอบด้วย กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป อังกฤษ ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา กลุ่มประเทศละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศแคริบเบียน
  • กลุ่มประเทศที่แสดงจุดยืนในเชิงขัดขวาง ประกอบด้วย กลุ่มประเทศอ่าว และกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ที่มีซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน รัสเซีย รวมถึงอินเดีย

จีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยมีจุดยืนคัดค้านการทำสนธิสัญญาแบบทะเยอทะยาน แต่ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่จะยอมรับสนธิสัญญาแบบทะเยอทะยานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีหลายประเทศ เช่น แคนาดา สิงคโปร์ เนปาล ภูฏาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ได้แถลงจุดยืนก่อนการปิดประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ว่า พวกเขาพร้อมให้ความร่วมมือในการเจรจาครั้งต่อไป เพื่อให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่มุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์

ความสำคัญของ INC-5

INC-5 มีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น

  • สร้างความร่วมมือระดับโลก : INC-5 มีเป้าหมายเพื่อสร้างสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันในการจัดการกับมลพิษจากพลาสติก สนธิสัญญานี้จะกำหนดแนวทางการจัดการมลพิษจากพลาสติกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิตจนถึงการกำจัด
  • ปกป้องสิ่งแวดล้อม : มลพิษจากพลาสติกเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศอย่างมาก โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมทางทะเล การจัดการมลพิษจากพลาสติกผ่าน INC-5 มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและลดผลกระทบที่เกิดจากพลาสติกต่อสัตว์ป่า
  • ปกป้องสุขภาพของมนุษย์ : พลาสติกมีสารเคมีที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่สิ่งแวดล้อมและร่างกายมนุษย์ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ INC-5 มีเป้าหมายในการควบคุมพลาสติกที่มีอันตรายและส่งเสริมทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
  • ผลกระทบทางเศรษฐกิจ : สนธิสัญญานี้มีเป้าหมายในการสมดุลระหว่างเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการออกแบบที่ยั่งยืนและส่งเสริมการปฏิบัติเช่นการรีไซเคิลและการจัดการของเสียทั่วโลก

ประชุมสุดท้ายปี 2568 สนธิสัญญาพลาสติกโลก เรียกร้องไทยแสดงจุดยืนเข้มแข็ง

จุดยืนของประเทศไทย

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) จัดงานเสวนา “ไปกันต่อ INC-5.2: ยังไงดีสนธิสัญญาพลาสติกโลก”

เพื่อนำเสนอข้อสรุป จุดยืนของประเทศไทย และข้อคิดเห็นจากการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งที่ 5 (INC-5) ณ เมืองปูซาน เกาหลีใต้ พร้อมด้วยบทบาทของประเทศไทยในอนาคตในเวทีเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งที่ 5.2 (INC-5.2) ซึ่งจะเกิดขึ้นกลางปีนี้ โดยได้รับเกียรติจากหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาสนธิสัญญาฯ ประเทศไทย เข้าร่วมวิเคราะห์ผลจากการประชุม ร่วมด้วยตัวแทนจาก 3 องค์กรในฐานะผู้สังเกตการณ์การเจรจา

บริษัทน้ำมันเข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญ

พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทยกล่าวว่า  จากการได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ใน INC5 เป็นที่น่าสังเกตได้ว่ามีตัวแทนบริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีเข้าร่วมถึง 220 คน ซึ่งสูงสุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

"เป็นข้อกังวลว่าการเจรจาจะทำให้การลดใช้และผลิตพลาสติกจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและนำไปสู่การจัดทำมาตรการที่หันเหไปจากวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่ต้องการให้มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อยุติมลพิษพลาสติก ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลฯ (INC) รอบหน้าจึงมีความสำคัญและน่าจับตามองอย่างมาก”

การเจรจาครั้งที่ 5.2 อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

ศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้จัดการโครงการพลาสติก Environmental Justice Foundation กล่าวว่า แม้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่การขยายการเจรจาออกไปเป็นเรื่องที่ดีกว่าการรีบทำให้เสร็จแล้วโลกได้สนธิสัญญาที่แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้มา

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้จัดและประเทศสมาชิกต้องหารือว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ และต้องป้องกันให้ไม่เกิดขึ้นอีกในการเจรจาครั้งที่ 5.2 ยังมีอีกหลายข้อบทที่ต้องการเวลามากกว่า 7 วันในการเจรจา ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล เราต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก ไม่เช่น นั้นการเจรจาครั้งที่ 5.2 อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เราจะเสียเวลาไปอีก และโลกเราจะมีโอกาสอีกสักกี่ครั้งที่จะได้เข้าใกล้การแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกได้อย่างแท้จริงขนาดนี้”

สารเคมีในพลาสติก

ฐิติกร บุญทองใหม่ ผู้จัดการแผนงานของเสียและมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า ในตอนแรก การประชุม INC5 คาดหวังไว้ว่าอย่างน้อยจะต้องมีการคุยกันเรื่องประเด็นสารเคมีในพลาสติกอย่างจริงจัง และนำไปสู่ร่างสนธิสัญญาพลาสติกที่มีการควบคุมสารเคมีในพลาสติกอย่างเข้มข้น

"แต่สุดท้าย การประชุม INC5 ครั้งนี้ไม่สามารถหาข้อสรุป รวมทั้งมีความพยายามในการลดความจริงจังต่อมาตราที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในพลาสติก และไม่สามารถเกิดร่างสนธิสัญญาพลาสติกได้ ต้องประชุมใน INC5.2 ในอนาคตอีกครั้ง”

ข้อเรียกร้อง 10 ประการ

ภาคประชาสังคมยังคงเน้นย้ำข้อเรียกร้องเดิมที่ต้องการให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 10 ประการดังนี้

  1. ลดการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนต่อการบริโภคและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้
  2. กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
  3. กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน 
  4. กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายและขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ขยายระบบใช้ซ้ำ การเติม และการซ่อมแซม รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้จริงภายในประเทศ ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
  5. กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารเคมีและมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ
  6. กำหนดให้มีมาตรฐานสากลในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ที่ให้ความสำคัญกับการลดพลาสติกแต่ต้นทาง การห้ามเผาขยะพลาสติก การกำหนดมาตรฐานการจัดการขยะที่เข้มงวด รวมไปถึงการรีไซเคิลและการผลิตพลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
  7. ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น
  8. ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา
  9. กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก
  10. กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงานและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์