'ฝุ่นพิษวิกฤติ' นักวิชาการจุฬาฯ ชี้ทางรอด สู่สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

'ฝุ่นพิษวิกฤติ' นักวิชาการจุฬาฯ ชี้ทางรอด สู่สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

จุฬาฯ ผนึกกำลังผู้เชี่ยวชาญ ถกแนวทางรับมือ PM2.5 เน้นแก้ปัญหาที่ต้นตอ ผสานวิทยาศาสตร์ นโยบาย และการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่ออากาศสะอาดและสุขภาพที่ยั่งยืน

"ปัญหาฝุ่น PM2.5" ได้กลายเป็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศนี้ ได้แก่ การเผาไหม้ในที่โล่ง การคมนาคมที่หนาแน่น กิจกรรมในภาคอุตสาหกรรม และปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศที่มีองค์ความรู้และงานวิจัยครอบคลุมด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และวิทยาศาสตร์ จึงได้จัดงานเสวนาครั้งนี้ขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนเกี่ยวกับการป้องกันและดูแลสุขภาพในสถานการณ์มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM2.5 รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหานี้ในระยะยาว

ผลกระทบของฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพ

อ.ภก.ดร.วีระพงษ์ ประสงค์จีน อาจารย์พิเศษจากศูนย์การศึกษาทั่วไป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย สิรินารา จากภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับ ผลกระทบฝุ่น PM2.5 ต่อสุขภาพ โดยระบุว่า จากประเด็นที่สังคมถกเถียงกันว่าฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ขอยืนยันว่ามีผลกระทบจริง โดยงานวิจัยทั่วโลกจำนวนมากต่างยืนยันตรงกันว่า PM2.5 ส่งผลทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง

ผลกระทบระยะเฉียบพลัน ได้แก่ อาการระคายเคืองตา ไอแห้ง เจ็บคอ หายใจไม่สะดวก และผื่นคันตามตัว ส่วนผลกระทบระยะเรื้อรัง ได้แก่ การกำเริบของโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ มะเร็งปอด โรคหัวใจ และโรคอัลไซเมอร์

นอกจากนี้ PM2.5 ยังทำให้เซลล์ในร่างกายเกิดการอักเสบบ่อยครั้ง ส่งผลให้ความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ของยีนเปลี่ยนแปลงไป และอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งในที่สุด

อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย  กว่าล่าวว จากงานวิจัยพบว่าในฝุ่น PM2.5 ที่พบในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโลหะหนักที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น สารหนู แคดเมียม และโครเมียม ในปริมาณค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด พร้อมแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากาก N95 หรือสูงกว่าเพื่อป้องกัน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งเมื่อค่าฝุ่นอยู่ในระดับสูง

\'ฝุ่นพิษวิกฤติ\' นักวิชาการจุฬาฯ ชี้ทางรอด สู่สุขภาพ-สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยใช้ค่า cutoff ของ PM2.5 ที่ปลอดภัยอยู่ที่ < 50 mcg/m³ มานาน และเพิ่งปรับลดลงเหลือ < 37.5 mcg/m³ ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชี้ว่าหากลดค่า cutoff ลงมาเทียบเท่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกที่ < 15 mcg/m³ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในประชากรไทยได้ถึง 44% และหากลดลงมาอยู่ที่ < 25 mcg/m³ ก็ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ 17%

การแก้ไขปัญหามลพิษ

รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล จากภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศต้องเริ่มต้นจากการตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจถึงต้นเหตุของปัญหา การแก้ไขที่แหล่งกำเนิดเป็นสิ่งจำเป็น และต้องดำเนินควบคู่ไปกับการจัดการแบบบูรณาการในทุกมิติ เนื่องจากแหล่งกำเนิดมลพิษมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หากดำเนินการแบบแยกส่วนจะไม่ได้ผล นอกจากนี้ ควรมีการมีส่วนร่วมจากชุมชน รวมถึงการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม

และเน้นย้ำว่า ภาครัฐต้องมีความมุ่งมั่นจริงจังในการแก้ไขปัญหา โดยคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมทั้งกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ รศ.ดร.ทรรศนีย์ เจตน์วิทยาชาญ ผู้อำนวยการหลักสูตรสหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายว่า วิกฤติฝุ่น PM2.5 ที่มีค่าพุ่งสูงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ แหล่งกำเนิดมลพิษและสภาพอากาศ ฝุ่น PM2.5 ส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้ โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นในกรุงเทพฯ พบว่าแหล่งกำเนิดสำคัญ ได้แก่ การจราจร โรงงานอุตสาหกรรม การเผาชีวมวล และละอองลอยจากเกลือทะเล

นอกจากนี้ ปฏิกิริยาเคมีในบรรยากาศที่ก่อให้เกิดฝุ่นทุติยภูมิ รวมถึงสภาพอากาศ เช่น ลมอ่อน อุณหภูมิผกผัน และมวลอากาศเย็นที่มีความเร็วลมต่ำในช่วงฤดูหนาว ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝุ่นสะสมและกระจายตัวได้ช้า

การจัดการคุณภาพ

รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาฯ กล่าวว่า "การจัดการคุณภาพอากาศเป็นเรื่องของทุกคน เราต้องตั้งรับ ปรับตัว และป้องกันตนเองและครอบครัว โดยเพิ่มการรับรู้ความเสี่ยงและทักษะ Data Literacy ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางต่อปัญหานี้" ควรมีการสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงคาดการณ์ที่สามารถช่วยให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับปัญหาได้ล่วงหน้า และภาครัฐควรให้ความสำคัญกับวิกฤติ PM2.5 ในทุกมิติ

ไม่ใช่แค่ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ต้องรวมถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน" ซึ่งการจัดการคุณภาพอากาศเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วม โดยควรตั้งรับ ปรับตัว และป้องกันตนเองและครอบครัว ทั้งนี้ ควรส่งเสริมการรับรู้ความเสี่ยงและพัฒนาทักษะด้าน Data Literacy ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่เปราะบางต่อปัญหานี้

ยังได้เน้นว่าการสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงคาดการณ์ที่ช่วยให้ประชาชนเตรียมตัวรับมือกับปัญหาล่วงหน้า นอกจากนี้ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับวิกฤติ PM 2.5 ในทุกมิติ ไม่เพียงแค่ด้านสิ่งแวดล้อม แต่ต้องรวมถึงมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM 2.5 เป็นวิกฤติที่ต้องอาศัยการจัดการแบบบูรณาการ ตั้งแต่การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ การแก้ไขที่แหล่งกำเนิด และการสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ภาครัฐต้องมีความมุ่งมั่นและกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ขณะที่ประชาชนต้องเพิ่มการตระหนักรู้และเตรียมรับมือ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมและยั่งยืน