Bosch ผลักดันให้เกิดความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ความเป็นกลางทางคาร์บอน" เป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่สำหรับ Bosch แม้เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่บริษัทฯ ก็มุ่งมั่นดำเนินการตามปณิธานที่ให้ไว้ในการทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้โลกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ Bosch ได้ให้คำมั่นว่าจะทำให้สถานที่ดำเนินธุรกิจของบริษัทกว่า 400 แห่งทั่วโลกมี ความเป็นกลางทางคาร์บอน ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ความพยายามของ Bosch ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในการทำให้เกิดความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากบริษัทฯ เปิดดำเนินงานในกัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม นี่คือตัวอย่างโครงการริเริ่มของ Bosch ในภูมิภาคนี้กับช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหลักฐานถึงการดำเนินการตามปณิธานที่ให้ไว้ในการทำให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อให้เมืองต่างๆ เหล่านี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น
เปลี่ยนโรงงานผลิตของ Bosch ให้กลายเป็นโรงงานสีเขียว
เนื่องจากการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งมากขึ้นอย่างน่าตกใจ เช่น คลื่นความร้อน อุทกภัยและพายุหมุนเขตร้อน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมากที่สุด แม้ว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในภูมิภาคนี้จะคิดเป็นแค่ร้อยละ 3.5 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกเท่านั้น การผลิตในภูมิภาคนี้ ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตที่รองลงมาจากประเทศจีนและอินเดีย เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิด GHG มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 รองลงมาจากการใช้ที่ดิน การขนส่งและการใช้ไฟฟ้า มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากฐานการผลิตในภูมิภาคดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น และเป็นธรรมดาที่ Bosch จะให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานผลิตในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้นในการดำเนินการเกี่ยวกับภูมิอากาศ
การลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการใช้พลังงานที่ผลิตขึ้นในสถานที่
Bosch ใช้ประโยชน์จากการที่ภูมิภาคอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรและได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมาก โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์และผลักดันการติดตั้งระบบโฟโตวอลเทอิกเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่โรงงานที่ประเทศมาเลเซียและไทย และยังวางแผนที่จะดำเนินการที่โรงงานในประเทศเวียดนามในไม่ช้า ในปัจจุบันได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาจำนวน 10,500 แผง ครอบคลุมพื้นที่รวม 34,500 ตารางเมตร เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลมาตรฐานของ FIFA 5 สนาม คาดว่าพลังงานสะอาดเกือบ 6,000MWh ที่ผลิตขึ้นในสถานที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 3,760 ตันต่อปี ซึ่งเกือบเท่ากับการขับรถยนต์ 1,000 คันต่อปี เมื่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ราว 4,000 แผงที่ประเทศเวียดนามเสร็จเรียบร้อย คาดว่าจะได้รับประโยชน์เหล่านี้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 30
การปฏิบัติตามกฎระเบียบการบำบัดน้ำเสีย
ส่วนใหญ่น้ำเสียในโรงงานเกิดจากการใช้น้ำหล่อเย็น (ร้อยละ 34) นอกจากนี้ ยังมาจากห้องน้ำและโรงอาหาร (ร้อยละ 40) และเกิดจากขั้นตอนการผลิต เช่น จากพื้นที่ที่มีการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า พื้นที่ล้างและศูนย์แปรรูป (ร้อยละ 26) มีการบำบัดน้ำเสียโดยใช้ขั้นตอนต่างๆ เช่น อัลตราฟิลเตรชัน เพื่อแยกของแข็งและของเหลวหรือวิธีบำบัดน้ำเสียทางกายภาพ-เคมี เช่น การตกตะกอนผลึกหรือการกลั่นอย่างเสมอต้นเสมอปลายที่โรงงานทั้งหมดของ Bosch
สูงสุดคืนสู่สามัญ
การดำเนินการเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของ Bosch ไม่ใช่แค่การลงทุนจำนวนมหาศาลไปกับเทคโนโลยีขั้นสูงและวิศวกรรมนวัตกรรมเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานอาจจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านั้น เช่น การติดตั้งระบบเก็บกักน้ำฝน ระบบทำความเย็น การอัพเกรดคอมเพรสเซอร์และการเปลี่ยนดวงไฟเป็นแบบ LED
ปรับโฉมอาคารใหม่ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
เทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับความปลอดภัย ประสิทธิภาพและความสะดวกสบายในการใช้สอยอาคาร ในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะระดับแนวหน้า Bosch ได้ผนวกรวมปัญญาประดิษฐ์ อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (IoT) และโซลูชันที่ใช้เซนเซอร์เข้ากับอาคารสำนักงานของตนเอง ทำให้พนักงานได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทันสมัยและมีความเป็นอัจฉริยะ และอวดโฉมให้ผู้มาติดต่อเห็นไปพร้อมๆ กัน สำนักงานใหญ่ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของอาคารประเภทนี้
Bosch Assist มาพร้อมกับแผงโซลาร์เซลล์และระบบปรับอากาศอัจฉริยะ และยังเป็นผู้ช่วยแบบไร้สัมผัสที่ใช้ข้อความบนระบบคลาวด์และเสียงเครื่องแรกสำหรับอาคาร ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารสำนักงานที่ประเทศสิงคโปร์มีความอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น Bosch Assist จะเชื่อมต่อโซลูชันกรรมสิทธิ์มากมายของ Bosch ภายในอาคารเข้าด้วยกัน เช่น กล้อง เซนเซอร์ ซอฟต์แวร์จัดการอาคาร ฯลฯ เพื่อแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ให้ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง ตลอดจนบริการและประโยชน์นานัปการแก่ผู้ใช้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ผู้จัดการสถานที่ ผู้รับเหมาและเจ้าของอาคาร
กล่าวได้ว่าอาคารสำนักงานของ Bosch ที่ประเทศสิงคโปร์นั้นไม่เพียงแต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันเนื่องจากมีการใช้พลังงานน้อยลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับอาคารอุตสาหกรรมอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นอาคารแบบอินเทอร์แอคทีฟและสะดวกต่อการใช้งานด้วย เช่น เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ผู้ที่อยู่ในอาคารก็สามารถใช้ Bosch App อย่างง่ายดายผ่านทาง WhatsApp, Facebook Messenger หรือ LINE เพื่อรับข้อมูลทันที เช่น เมนูกลางวันพิเศษประจำวันก่อนมุ่งหน้าไปที่โรงอาหาร ผู้ที่ใช้บริการโรงอาหารของ Bosch ก็จะได้สัมผัสกับระบบปรับอากาศอัจฉริยะ ผู้ที่มารับประทานอาหารสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ง่ายๆ เพียงแค่เชื่อมต่อกับ Bosch Assist หรือแตะกล่องควบคุมขนาดเล็กบนโต๊ะ เพื่อปรับความเร็วของพัดลมเพดานที่อยู่ใกล้โต๊ะที่สุด โดยไม่ต้องลุกออกจากที่นั่ง ข้อมูลสถิติระบุว่าระบบปรับอากาศอัจฉริยะที่โรงอาหารของ Bosch แห่งเดียวสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ได้มากกว่า 8 ตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการขับขี่รถยนต์ 2 คัน ยิ่งไปกว่านั้น โรงงานอาหารแห่งนี้ยังแสดงให้เราเห็นถึงวิธีในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้โดยไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
ผลิตภัณฑ์น่าสนใจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผลิตภัณฑ์ของ Bosch ทั้งหมดผลิตขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน มีความทนทานและมีประสิทธิภาพเพื่ออนุรักษ์พลังงาน น้ำและทรัพยากร มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นก่อนการผลิตไปจนถึงการบรรจุอย่างถี่ถ้วนเพื่อยกระดับความยั่งยืน
ทำให้เกิดความยั่งยืนอย่างจริงจัง
ความเป็นกลางทางคาร์บอน เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่ Bosch ก็มุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นจากพนักงานทุกคนของ Bosch ในทั่วโลกที่พูดจริงทำจริง ด้วยการฝึกทำสิ่งต่างๆ ง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความยั่งยืน เช่น ลดการพิมพ์เอกสารในสำนักงานและการลดปริมาณขยะ วัฒนธรรมบริษัทที่ช่วยสร้างแรงกระเพื่อมอย่าง "We are Bosch" จะทำให้พนักงานทุกคนสามารถมีส่วนช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในการสร้างความยั่งยืนได้ในระยะยาว







