พบ ‘ไมโครพลาสติก’ ใน ‘รกเด็กที่คลอดก่อนกำหนด’ มากกว่าเด็กทั่วไป 50%

ไมโครพลาสติกในรกเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีความเข้มข้นสูงกว่าเด็กคลอดตามเกณฑ์ และ ไมโครพลาสติกมีส่วนทำให้คลอดก่อนกำหนด
KEY
POINTS
- การศึกษาล่าสุดพบว่า กลุ่มเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีปริมาณไมโครพลาสติกในรกมากกว่ากลุ่มที่คลอดตามกำหนดถึง 50%
- การสัมผัสกับสารพทาเลต ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการผลิตพลาสติกทำให้อัตราการคลอดก่อนกำหนดในสหรัฐเพิ่มขึ้น
- นักวิจัยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สินค้าบรรจุหีบห่อด้วยพลาสติก เช่น ไม่ซื้อผักที่หุ้มด้วยฟิล์มถนอมอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกกรอบ เปลี่ยนมาใช้ภาชนะแก้วหรือสแตนเลสเก็บอาหาร และปรุงอาหารสดใหม่
“ไมโครพลาสติก” แทรกซึมไปทั่วทุกมุมของสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ใต้ท้องทะเลลึกไปจนถึงยอดเขาที่สูงที่สุด รวมไปถึงในร่างกายของมนุษย์ แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมีการค้นพบไมโครพลาสติกใน “รกเด็ก” เป็นครั้งแรก แต่ในการศึกษาล่าสุดพบว่า กลุ่มเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีปริมาณไมโครพลาสติกในรกมากกว่ากลุ่มที่คลอดตามกำหนดอย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ที่รายงานในการประชุมประจำปีของสมาคมการแพทย์แม่และทารกในครรภ์ (SMFM) ซึ่งทำการวิเคราะห์รก 175 เส้น โดยเป็นของเด็กที่คลอดตามกำหนด 100 เส้น ที่เหลือ 75 เส้นเป็นของเด็กที่คลอดก่อนตั้งครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้นของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกอยู่ในรกของทารกที่คลอดก่อนกำหนดสูงกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนด
การวิเคราะห์ด้วยเครื่องสเปกโตรมิเตอร์มวลที่มีความไวสูงพบว่า มีพลาสติก 203 ไมโครกรัมต่อเนื้อเยื่อ 1 กรัม (µg/g) ในรกของเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งสูงกว่า 50% เมื่อเทียบกับรกของเด็กที่คลอดตามกำหนด ที่ปริมาณ 130µg/g โดยในรกของเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีพลาสติก PET มากที่สุด
นอกจากนี้ ระดับความเข้มข้นของไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกในรกเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ยังสูงที่สุดนับตั้งแต่เคยบันทึกมา ซึ่งสูงกว่าในเลือดมนุษย์ที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งนักวิจัยสันนิษฐานว่าอนุภาคพลาสติกเหล่านี้กำลังสะสมอยู่ในรกตลอดการตั้งครรภ์ และจะสะสมมากขึ้นในกรณีที่คลอดก่อนกำหนด
ไมโครพลาสติกเข้าสู่กระแสเลือดของมารดาผ่านทางอาหาร น้ำดื่ม และแม้กระทั่งอากาศที่เราหายใจ อนุภาคเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสะสมในอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงรก
เนื่องจาก ไมโครพลาสติกมีขนาดเล็กและมีองค์ประกอบทางเคมี จึงอาจรบกวนกระบวนการทางชีวภาพ โดยพกพาสารเติมแต่งที่เป็นอันตรายหรือทำหน้าที่เป็นพาหะของสารพิษอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวต่อการพัฒนาของทารกในครรภ์และการตั้งครรภ์ เช่น การคลอดก่อนกำหนด ภาวะแท้ง
ขณะที่ การศึกษาวิจัยของ Lancet Planetary Health ตรวจสอบข้อมูลมารดาจำนวน 5,000 รายทั่วสหรัฐ พบว่าการสัมผัสกับสารพทาเลต ซึ่งเป็นสารเคมีสังเคราะห์ในการผลิตพลาสติกทำให้อัตราการคลอดก่อนกำหนดในสหรัฐเพิ่มขึ้น
ในทุกปี สหรัฐผลิตสารพทาเลตหลายล้านตัน ซึ่งพบได้ในของใช้ในครัวเรือนทั่วไป ตั้งแต่ของเล่นไปจนถึงทัปเปอร์แวร์ ทำให้พลาสติกมีความทนทาน โค้งงอได้ และเป็นมันเงามากขึ้น สารพทาเลตยังพบได้ทั่วไปในกระบวนการผลิตอาหารอีกด้วย
พทาเลทสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้หลายวิธี รวมถึงการหายใจและการกิน เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว จะไปรบกวนฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เป็น ตัวนำข่าวสารทางเคมีสัญญาณเคมี โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ สารนี้จะส่งผลต่อการควบคุมฮอร์โมนเมื่อทารกคลอดออกมา
การศึกษาดังกล่าวพบความเชื่อมโยงระหว่างการมีอยู่ของสารพทาเลตกับระยะเวลาตั้งภรรค์ ส่วนสูงแรกเกิดและน้ำหนักแรกเกิดของทารก โดยในปี 2018 เพียงปีเดียว นักวิจัยประเมินว่าทารกคลอดก่อนกำหนดมากกว่า 56,000 รายเกิดจากการสัมผัสสารพทาเลตในครรภ์ ค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิตของเด็กกลุ่มนี้ ซึ่งรวมไปถึงการสูญเสียผลผลิตทางเศรษฐกิจและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น อยู่ที่อย่างน้อย 1,600 ล้านดอลลาร์ แต่รวมแล้วอาจสูงถึง 8,100 ล้านดอลลาร์
ดร.เลโอนาร์โด ทราซานเด ผู้อำนวยการศูนย์สืบสวนอันตรายต่อสุขภาพสิ่งแวดล้อมของ NYU Langone Health กล่าวว่า ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการยับยั้งมลภาวะจากพลาสติกทั่วโลก โดยผลการศึกษาอีกชิ้นของเขา เผยให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคต่าง ๆ จากการสัมผัสพลาสติกในปี 2018 ของสหรัฐสูงถึง 249,000 ล้านดอลลาร์ ไม่รวมการคลอดก่อนกำหนด
“อุตสาหกรรมเคมีกำลังแสวงหากำไรจากคนจำนวนมาก พร้อมสร้างโรคภัยต่าง ๆ และความพิการให้กับพวกเขา” ทราซานเดกล่าว
อย่างไรก็ตาม การศึกษาวิจัยใหม่นี้เป็นการสังเกตและไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงผลกระทบของพลาสติกต่อการคลอดก่อนกำหนด โดยได้ใช้หลักฐานที่ได้รับการยืนยัน และค้นพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับสารเคมีทดแทน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะหลีกเลี่ยงกฎระเบียบได้
ดร.ฟิลิป แลนดริแกน ผู้อำนวยการโครงการสุขภาพโลกและประโยชน์ส่วนรวมของวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่าการคุ้มครองผู้บริโภคจากสารเคมีของสหรัฐอ่อนแอมาก และในฐานะกุมารแพทย์ เขาเชื่อว่า “เราจำเป็นต้องปฏิรูปกฎระเบียบด้านสารเคมีในประเทศนี้อย่างจริงจังเพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์”
ขณะที่ สภาเคมีอเมริกัน เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมพลาสติกเน้นย้ำว่า ถึงจะมีความเชื่อมโยงระหว่างพลาสติกและผลกระทบต่อสุขภาพเหล่านี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าพลาสติกเป็นสาเหตุของผลกระทบดังกล่าว โดยได้ระบุไว้ในแถลงการณ์ว่า “การศึกษานี้ไม่ได้แสดงผลลัพธ์เชิงลบ การสร้างความเชื่อมโยงไม่ได้เท่ากับการสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ การศึกษาเช่นนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดคุณภาพทางวิทยาศาสตร์ ความน่าเชื่อถือ และความน่าไว้วางใจ”
คาร์เมน เมสเซอร์เลียน ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาการสืบพันธุ์กล่าวว่า ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น และเด็ก ๆ อาจเผชิญกับความพิการหรือความผิดปรกติในภายหลังได้อีกด้วย พร้อมกล่าวเสริมว่า ผู้หญิงผิวดำและผิวสีมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับสารพทาเลตและคลอดก่อนกำหนดมากกว่า
ปัจจัยเสี่ยงจากการคลอดก่อนกำหนดบางอย่างสามารถป้องกันได้ ทราซานเดแนะนำให้ผู้ปกครองหลีกเลี่ยงสินค้าบรรจุหีบห่อด้วยพลาสติก เช่น ไม่ซื้อผักที่หุ้มด้วยฟิล์มถนอมอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกกรอบ เปลี่ยนมาใช้ภาชนะแก้วหรือสแตนเลสเก็บอาหาร และปรุงอาหารสดใหม่
ทราซานเดทิ้งท้ายว่า ทุกคนควรมีเป้าหมายเป็นการจำกัดการใช้พลาสติก แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากก็ตามโดยเร็วที่สุด เพราะในชีวิตประจำวันเรามีพลาสติกมากจนเกินจำเป็น
ที่มา: Earth, The Guardian, USA Today