ดูดเลือดบ่อยแล้วจำศีล กลไกเอาชีวิตรอดของ ‘ยุง’ ในช่วงฤดูแล้ง

ดูดเลือดบ่อยแล้วจำศีล กลไกเอาชีวิตรอดของ ‘ยุง’ ในช่วงฤดูแล้ง

ยุงมีกลยุทธ์เอาตัวรอดที่ไม่เหมือนใคร พวกมันกัดคนบ่อยขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกายและสะสมไขมัน ในช่วงหน้าแล้ง

เมื่อฝนตกหนักหลังจากภัยแล้งอันยาวนานและรุนแรง มักมีฝูงยุงจำนวนมากที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนบินว่อนไปมาเต็มไปหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งน่าสงสัยว่ายุงก็สามารถเอาชีวิตรอดและฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร โดยไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งที่โหดร้ายเป็นเวลาหลายสัปดาห์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซินซินแนติได้ไขคำตอบที่น่าสนใจบางประการสำหรับปรากฏการณ์ที่น่าพิศวงนี้

ยุงเป็นแมลงที่แข็งแกร่ง มาพร้อมกับการแพร่กระจายโรคต่าง ๆ เช่น โรคมาลาเรีย ไข้เลือดออก ไข้ซิกาสู่มนุษย์ ซึ่งเรารู้กันดีว่าพวกมันมักจะวางไข่ในแหล่งน้ำขัง และมักจะเข้าใจว่าในช่วงหน้าแล้งไม่น่าจะมียุง เพราะไม่มีแหล่งน้ำแห้งไปหมด แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม

งานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซินซินแนติพบว่า ยุงมีกลยุทธ์เอาตัวรอดที่ไม่เหมือนใคร พวกมันกัดคนบ่อยขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย

ปรกติแล้ว ยุงตัวเมียจะดูดเลือดเพื่อเป็นพลังงานผลิตไข่ ภายในสี่วันหลังจากดูดเลือดพวกมันจะวางไข่ และทำซ้ำเช่นนี้เป็นวัฏจักร แต่เมื่อเผชิญกับภัยแล้ง พวกมันจะปรับเปลี่ยนวัฏจักร แทนที่จะรอที่จะวางไข่หลังจากกินเลือด ยุงที่ประสบภัยแล้งจะดูดเลือดบ่อยขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีน้ำเพียงพอ นับเป็นเทคนิคการเอาตัวรอดที่น่าสนใจแต่ก็สร้างความกังวล เพราะยิ่งเป็นการความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคต่าง ๆ สู่มนุษย์มากยิ่งขึ้น

เพื่อศึกษาว่ายุงสามารถอยู่รอดได้อย่างไรในช่วงภัยแล้ง ทีมวิจัยได้ดัดแปลงพันธุกรรมยุง ในส่วนการตรวจจับคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากยุงใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการตรวจจับเหยื่อ นักวิจัยพบว่าหากยุงไม่สามารถจับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ พวกมันจะไม่สามารถระบุตำแหน่งของเหยื่อ และสุดท้ายพวกมันก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้

แต่ใช่ว่ายุงจะไม่มีกลไกรักษาเผ่าพันธุ์ในฤดูแล้ง พวกมันรอดมาตั้งแต่ยุคครีเทเชียสตอนต้น เมื่อประมาณ 125 ล้านปีก่อน ซูวิก ชัคราบอร์ตี นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย พบว่า ไข่ของ “ยุงลายบ้าน” หรือยุงไข้เหลือง (Aedes aegypti) สามารถอยู่รอดได้นานถึงหนึ่งปี และไข่ยุงจะฟักออกมาทันทีเมื่อสัมผัสกับน้ำฝน 

คริสโตเฟอร์ โฮล์มส์ หัวหน้าคณะผู้จัดทำการศึกษากล่าวเสริมว่า “ยุงชนิดนี้มักถูกเรียกว่ายุงบ้าน มักซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินหรือท่อระบายน้ำ ในช่วงก่อนถึงฤดูหนาวยุงจะดื่มน้ำหวานและอ้วนขึ้น เพื่อจนสะสมไขมันจำนวนมาก จากนั้นเมื่ออากาศอุ่นขึ้นเพียงพอ ยุงชนิดนี้จะหาอาหารกินเลือด วางไข่ และตาย”

อีกทั้งยุงบางสายพันธุ์ เช่น ยุงรำคาญ (Culex) สามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ พวกมันจะดูดน้ำหวานก่อนฤดูหนาว สะสมไขมันจำนวนมาก และวางไข่ทันทีที่อากาศอบอุ่น โดยยุงชนิดนี้สามารถคาดการณ์ฤดูหนาวและลดการเผาผลาญได้อย่างรวดเร็ว เพื่อจำศีลได้นานถึงห้าเดือน

แต่การเอาชีวิตรอดของยุงต้องแลกมาด้วยการเสียชีวิตของมนุษย์มากกว่า 700,000 รายทุกปี จากโรคต่าง ๆ ที่มียุงเป็นพาหะ

การทำความเข้าใจชีวิตของยุงเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ของยุง เมื่อนักวิจัยเข้าใจความสามารถในการฟื้นตัวของยุง ก็จะทำให้ควบคุมปัญหาด้านสุขภาพจากโรคที่มียุงเป็นพาหะได้

“ยุงเหล่านี้อาศัยอยู่แทบทุกที่ ยกเว้นทวีปแอนตาร์กติกา พวกมันสามารถทนต่อแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย การเรียนรู้เกี่ยวกับชีววิทยาของยุงมากขึ้นถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจว่าพวกมันอยู่รอดและสืบพันธุ์ได้อย่างไร” รายงานระบุ

งานวิจัยนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากยุงในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพราะขนาดยุงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้นและขยายอาณาเขตถิ่นที่อยู่อาศัยจากภาวะโลกร้อน เช่น ยุโรปและสหรัฐ ดังนั้นกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขจึงต้องพัฒนาให้ทันกับยุง ทั้งในแง่การควบคุมโรคและควบคุมจำนวนยุง เช่น ใช้สารขับไล่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือการตัดต่อทางพันธุกรรม อาจช่วยลดจำนวนยุงและอัตราการแพร่กระจายของโรคได้ 

รวมถึงมีระบบเฝ้าระวังและคาดการณ์การระบาดของยุง โดยอาศัยรูปแบบสภาพอากาศสามารถช่วยให้ชุมชนสามารถใช้มาตรการป้องกัน ก่อนที่โรคจะแพร่กระจายได้

ด้วยการวิจัยอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะสามารถคิดค้นวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์ได้ พร้อมทั้งทำความเข้าใจได้ดีขึ้นว่ายุงเหล่านี้แข็งแกร่งจนสามารถอยู่รอดมาเป็นล้านปีได้อย่างไร


ที่มา: EarthPhysScience Daily