จะลดปัญหามลพิษอากาศ จราจร และเศรษฐกิจสังคม ด้วยมาตรการเดียวได้อย่างไร

ปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดในชื่อบทความนี้ล้วนมาจากสภาพจราจรที่ติดขัดในเมืองทั้งสิ้น ดังนั้นจะลดปัญหาทั้งปวงนี้ได้ต้องแก้ที่สภาพจราจรในเขตเมืองให้ดีขึ้นได้เท่านั้น
การออกแบบทางกายภาพของเมืองอันได้แก่ ผังเมือง ถนน และตรอกซอย ให้ใช้งานได้ดีและได้จริงเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง ส่วนการบังคับใช้กฎหมายเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทางซึ่งประสิทธิภาพต่ำกว่ามาก และอย่างไรเสียก็ดีเท่ากับการแก้ปัญหาที่ต้นทางไม่ได้
คนที่จะแก้ปัญหาทางกายภาพตั้งแต่ต้นทางนี้ได้ดีที่สุด คือ วิศวกรขนส่ง ผู้ออกแบบระบบขนส่งและการเดินทางของผู้คนในเมือง เพราะวิศวกรรมการขนส่งหรือ transport engineering ไม่ใช่เป็นแค่เพียงการขนส่งเฉพาะสินค้า แต่หมายรวมถึงการขนส่งคนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วย
ปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกได้หันมาเน้นการเดินทางที่ยั่งยืน(sustàinable mobility) การเดินทางทางเลือก(alternative mobility) และการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(environment friendly transportation) กันหมดแล้ว
การเดินทางทั้งสามอย่างที่เอ่ยนามมาทั้งหมดนั้นโลกเขาหมายถึงการเดินและการจักรยาน
การเดินกับการใช้จักรยานในวิถีชีวิตของชุมชนในบริบททางกายภาพของไทยในปัจจุบัน ทำได้จริงไหม สะดวกไหม สบายไหม ปลอดภัยไหม คำถามนี้ทุกคนตอบได้เองว่าไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นทางเท้าที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ทางเท้าที่ไม่ต่อเนื่อง ต้องเดินขึ้นเดินลงตรงทางเข้าบ้านคนริมถนน ทางเท้าแคบ มีแผงลอยและสิ่งกีดขวางอื่นบนทางเท้า ซึ่งนอกจากจะเดินไม่ได้แล้วยังทำให้ระบบทางแบ่งปัน หรือ shared path ของการเดินและใช้จักรยานร่วมกันที่อารยะประเทศเขาใช้กันอยู่ ทำไม่ได้ในเมืองไทย
ทำให้ชาวบ้านที่ต้องการใช้จักรยานในการเดินทางใกล้บ้านต้องหันไปขี่จักรยานบนถนน ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สิน หากเป็นในตรอกในซอย ก็มีรางรูปตัว V (วิศวกรระบายน้ำบอกว่าจะช่วยระบายน้ำ ให้น้ำไม่ท่วมถนน ซึ่งไม่จริง) อยู่ริมสองข้างของถนนซอย ทำให้ทั้งเดินและขี่จักรยานเสี่ยงต่อการหกล้ม
หากจะหลบรางนี้โดยหันไปเดินหรือขี่จักรยานด้านนอกรางก็เสี่ยงต่อการโดนรถที่ตามมาข้างหลังชน
นอกจากนี้ สังคมไทยได้เริ่มเป็นสังคมผู้สูงอายุแล้ว ผู้สูงวัยหลายคนจำเป็นต้องใช้เก้าอี้ล้อเลื่อนหรือวีลแชร์ในการเดินทาง ถ้าเส้นทางยังเป็นแบบเดิมที่ไม่เอื้ออำนวยให้เขาเดินทางได้ เขาจะกลายเป็นคนติดบ้าน ออกไปไหนไม่ได้ อันเป็นภาระของครอบครัว รวมทั้งเป็นภาระทางเศรษฐกิจของสังคมอย่างไม่ควรปล่อยให้เป็น
สภาพทางกายภาพที่ไม่อำนวย บีบให้วีลแชร์ต้องลงถนน
เราเริ่มพูดกันบ่อยครั้งขึ้นว่าเราจะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความเท่าเทียมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง อนุมานได้ว่าเราอยากจะแก้ปัญหาทั้งสามอย่าง คือ มลพิษอากาศ สภาพจรารจร และเศรษฐกิจสังคมอย่างที่เขียนไว้เป็นชื่อบทความนี้ให้ได้นั่นเอง
และเราก็เห็นพ้องกันว่าเราต้องแก้จุดปวดหรือ pain point นี้ตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งนั่นหมายถึงว่าวิศวกรขนส่งหรือ transport engineer ผู้เป็นต้นธารแห่งปัญหาและการแก้ปัญหาไปด้วยพร้อมกัน
ต้องเข้าใจก่อนเป็นประการแรกว่าอันถนนนั้นมีไว้ให้สำหรับทุกคนใช้ ไม่ใช่มีไว้เฉพาะสำหรับรถยนต์ แต่เท่าที่ผ่านมาพวกเขาได้ออกแบบก่อสร้างให้เฉพาะคนกลุ่มขับรถยนต์นี้เป็นใหญ่มาตลอด โดยไม่ได้มองในบริบทของการเดินทางยั่งยืน การเดินทางทางเลือก และการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ทั่วโลกกำลังใช้เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practice) นั้นเลย
การขนส่งหมายถึงการย้ายคนและสินค้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในทุกรูปแบบ
ถนนจึงไม่ได้มีไว้ให้เพียงแค่รถยนต์เท่านั้นที่ใช้ได้
เรื่องที่ผ่านไปแล้วคงแก้อะไรได้ไม่ง่าย เราจึงควรมาเริ่มต้นกันใหม่แบบ reset ระบบขนส่งของไทย
นั่นคือ เราต้องไปปรับแก้ที่ภาควิชาวิศวกรรมขนส่งของทุกมหาวิทยาลัยที่เป็นองค์กรผลิตบัณฑิตสาขานี้ออกไปทำงานด้านการเดินทางและขนส่ง ให้เปลี่ยนทัศนคติที่มีมาแต่เดิม
และหันมาทำความเข้าใจในปรัชญาของการเดินทางทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสังคมสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน อันได้แก่การเดินและการใช้จักรยานในชีวิตประจำวันของชุมชน โดยมีความปลอดภัย ความสะดวก ความต่อเนื่อง และความร่มรื่น ของประชาชนเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ
นี่เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทางจริง และจะแก้ปัญหาได้จริง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การทำทางเท้าในพื้นที่ที่ดินทรุดง่าย ทำให้กระเบื้องทางเท้าทรุดตัวไม่เท่ากัน เกิดการกระเดิดของกระเบื้อง มีระดับที่ต่างกัน ทำให้อันตราย หกล้มง่าย และวีลแชร์ใช้งานไม่ได้
ข้อเสียนี้แก้ไขได้ง่ายๆทางวิศวกรรม คือ เพียงออกแบบให้มีพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กไว้เป็นฐานด้านล่าง ก่อนปูกระเบื้อง แบบที่ได้ทำกันมานานแล้วที่ถนนพหลโยธินช่วงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไปยังสะพานควาย หรือก่อสร้างเป็นทางลาดยางมะตอยที่อ่อนตัวไปตามผิวดินได้โดยไม่มีการกระเดิดของกระเบื้องพื้น
จากนั้นก็มาถึงการแก้ปัญหาระยะยาว คือ การดูแลรักษาทางให้อยู่ในสภาพดีโดยตลอด โดยภาครัฐต้องใส่งบประมาณเข้าไปให้มากพอ มากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกมากนัก
ผมพูดเสมอว่า นี่ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุน !







