'ดินไทยเสื่อม' กรมพัฒนาที่ดิน-TEI และอีกมาก ผนึกกำลังเร่งแก้ ก่อนสายเกินไป

'ดินไทยเสื่อม' กรมพัฒนาที่ดิน-TEI และอีกมาก ผนึกกำลังเร่งแก้ ก่อนสายเกินไป

ด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือ และสนับสนุน ด้านการจัดการดินและที่ดินในระบบการผลิตเพื่อการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน และสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูล และองค์ความรู้ในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตร

KEY

POINTS

  • ประมาณ 33% ของพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศอยู่ในสภาพที่มีคุณภาพดินต่ำกว่าเกณฑ์ในการทำเกษตรกรรม
  • จำเป็นต้องมีการบูรณาการและความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อวางแผนและนำแนวทางการจัดการดินที่ยั่งยืนมาใช้
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ผสานกำลังสมาคมดินโลก กรมพัฒนาที่ดิน มูลนิธิดั่งพ่อสอน และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลง
  • เฟสแรกเป็นระยะเวลา 3 ปี โฟกัสในเรื่องความร่วมมือเผยแพร่องค์ความรู้

ปัญหาดินเสื่อมโทรมเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญทั่วโลก ดินชั้นบนของโลกถึง 90 เปอร์เซ็นต์อาจตกอยู่ในความเสี่ยงภายในปี 2593 ตามข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งการเสื่อมโทรมของดินไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อหลายด้าน เช่น ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพสูญเสียไป

คุณภาพน้ำแย่ลง ดินไม่สามารถกักเก็บปริมาณคาร์บอนได้มากส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การกัดเซาะดินสามารถทำลายรากฐานของโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูง

นอกจากนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ลดลงทำให้คุณค่าทางโภชนาการของพืชน้อยลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อโภชนาการของมนุษย์ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าการรักษาสุขภาพของดินเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศและสังคมมนุษย์

ในประเทศไทย ประมาณ 33% ของพื้นที่เกษตรกรรมในประเทศอยู่ในสภาพที่มีคุณภาพดินต่ำกว่าเกณฑ์ในการทำเกษตรกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการบูรณาการและความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร เพื่อวางแผนและนำแนวทางการจัดการดินที่ยั่งยืนมาใช้

ล่าสุด สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI เดินหน้าขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อม ผสานกำลังสมาคมดินโลก กรมพัฒนาที่ดิน มูลนิธิดั่งพ่อสอน และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลง

โดยเฟสแรกเป็นระยะเวลา 3 ปี โฟกัสในเรื่องความร่วมมือเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน หวังการผสานกำลังครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินอย่างชาญฉลาด รักษาคุณภาพดินเพื่อให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืนต่อไป

พร้อมส่งเสริมการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของดิน การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวันดินโลกและแนวพระราชดำริด้านการจัดการดินอย่างยั่งยืน ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ผ่านกิจกรรวันดินโลก กิจกรรมด้านวิชาการ ศิลปะแก่ภาครัฐ เอกชน เยาวชน เกษตรกร และประชาชนทั่วไป

รวมถึงการนำศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหา วชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางในการปฏิบัติและช่วยเหลือโดยการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรแก่ประชาชนในพื้นที่ทั่วไป หรือในเขตทุรกันดารเพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น

ดินกว่า 33% เสื่อมโทรม

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต นอกจากเป็นแหล่งของความมั่นคงและปลอดภัยทางอาหารกว่า 95% แล้ว ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานของการสร้างสมดุลให้กับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม

"ในปัจจุบันดินกว่า 33% ประสบกับสภาวะความเสื่อมโทรม ไม่สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจำนวนประชากรโลกได้ รวมถึงการสร้างที่อยู่อาศัยที่รุกล้ำพื้นที่เกษตรซึ่งดินที่เสื่อมโทรมส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เกษตร"

โดยดินเสื่อมโทรมไม่ได้เกิดจากสาเหตุทางธรรมชาติเท่านั้น แต่การขาดความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์จากดินอย่างถูกต้อง ก็เป็นเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องนี้ที่ทั้ง 5 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพดินให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืน เพื่อรักษาคุณภาพดินให้ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

จุดเริ่มต้นของปัจจัยสี่

ด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า ดินเป็นจุดเริ่มต้นของปัจจัยสี่เพื่อการดำรงชีพของมนุษย์ และสรรพสิ่งต่างๆ การอยู่รอดของมวลมนุษย์จึงต้องพึ่งพาและรักษาดิน เพราะดินเป็นแหล่งรวมความหลากหลายทางชีวภาพหลักของโลก สิ่งมีชีวิตทั้งคนและสัตว์ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับดิน และดินดีที่จะมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตช่วยสร้างสารอาหารสำหรับพืชและสามารถกักเก็บคาร์บอนไว้ได้ รวมทั้งดินยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย

ดังนั้น สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI มีบทบาทในการขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้ทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ประชาสังคม ในการขับเคลื่อนงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065

ควบคู่ไปกับการควบคุมมลพิษ และอนุรักษ์ใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ดังนั้นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ก็คือการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งทางTEI ได้ดำเนินการโครงการร่วมกับภาคีเครือข่ายมากมายๆ ในการมีส่วนร่วมดูแลและรักษาทรัพยากรดิน อาทิ

โครงการ Urban Resilience Building and Nature ที่ศึกษาและวางแผนออกแบบเมืองสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน หรือ Natured-based Solutions (NbS)

กิจกรรมเวียนเทียนต้นไม้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การฟื้นฟูป่าชายเลน การป้องกัน และลดฝุ่น PM2.5 ผ่านการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและรณรงค์การลดเผา เพื่ออนุรักษ์ความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นต้น และทุกโครงการ กิจกรรม TEI ให้ความสำคัญในการดูแลรักษาปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพในดิน ตลอดมา

เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs17

ดร. วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์นายกสมาคมดินโลก ให้ความเห็นว่า การจับมือของหลายหน่วยงานในครั้งนี้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs17 ที่เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรดิน

ซึ่งเป็นทรัพยากรหลักขณะเดียวกันบอกว่าถึงเวลาที่ทั่วโลกจะให้ความสำคัญในการปรับปรุงสุขภาพดิน ทั้งการเอาใจใส่ดูแล เฝ้าติดตาม และจัดการทรัพยากรดินให้กลับมาสมบูรณ์

"หลังจากนี้คือทศวรรษแห่งสุขภาพดิน ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสุขภาพดินต่อความมั่นคงทางด้านอาหารและโภชนาการ การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน และพัฒนาสุขภาพดินให้เป็นแนวทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมั่นว่าทุกองค์กรที่ลงนามในครั้งนี้มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนในการดูแลและรักษาทรัพยากรดิน"

ทั้ง 5 หน่วยงานมุ่งหวังว่าการผสานกำลังในครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรดินอย่างชาญฉลาด รักษาคุณภาพทรัพยากรดินให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนต่อไป และเกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะการดูแลรักษาและฟื้นฟูสุขภาพดินไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ของภาคส่วนใด ภาคส่วนหนึ่งแต่เป็นหน้าที่ของเราทุกคน

ส่องตัวอย่าง แก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมระดับโลก

การประชุมและความร่วมมือเหล่านี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมในระดับโลก

  • อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD) : ข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีภาระผูกพันทางกฎหมายนี้มุ่งเน้นการแปรสภาพเป็นทะเลทราย การเสื่อมโทรมของที่ดิน และความแห้งแล้ง การประชุมภาคีที่ 16 (COP16) ของ UNCCD เพิ่งจัดขึ้นที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยมีการอภิปรายสำคัญเกี่ยวกับการเสื่อมโทรมของดินและความจำเป็นในการดำเนินการร่วมกันในระดับโลก
  • องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) : มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรมผ่านโปรแกรมและการปฏิรูปต่าง ๆ ในงาน COP16 FAO ได้เน้นความสำคัญของการฟื้นฟูที่ดินทางการเกษตร เพื่อให้มั่นใจในความมั่นคงด้านอาหารและสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพ
  • ทศวรรษของการฟื้นฟูระบบนิเวศของสหประชาชาติ : โครงการนี้ประสานงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และ FAO มุ่งมั่นป้องกัน หยุดยั้ง และพลิกฟื้นการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศโดยรวมถึงการฟื้นฟูดินด้วย โครงการนี้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมเพื่อปรับปรุงความหลากหลายทางชีวภาพและต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • องค์กรและโครงการเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับการเสื่อมโทรมของดินและเพื่อความยั่งยืนของโลกในอนาคต

ตัวอย่างวิกฤติดินเสื่อมโทรมในหุบเขาอาร์ติโบนิต

ในหุบเขาอาร์ติโบนิต ประเทศเฮติ มีตัวอย่างที่ชัดเจนของวิกฤติการเสื่อมโทรมของดินที่ทำให้ไม่สามารถใช้ดินเพาะปลูกได้อีกต่อไป การทำการเกษตรที่ไม่ยั่งยืน การตัดไม้ทำลายป่า และการเลี้ยงสัตว์ที่มากเกินไปทำให้เกิดการกัดเซาะดินอย่างรุนแรง ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินและผลผลิตลดลงอย่างมาก

ชาวนาที่มีชีวิตคอยดูแลสวนของเธอในหุบเขาอาร์ติโบนิตเล่าว่า เมื่อก่อนพื้นดินที่นี่อุดมสมบูรณ์ พืชผลออกผลดีและมีความหลากหลายทางชีวภาพ ตอนนี้พืชบางชนิดไม่สามารถเติบโตได้อีกต่อไป เนื่องจากดินเสื่อมและการสูญเสียพื้นที่ป่า การตัดโค่นต้นไม้อย่างไม่ระมัดระวังทำให้ดินสูญเสียสารอาหารและระบบนิเวศถูกทำลาย

น้ำในแม่น้ำก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การกัดเซาะดินทำให้เกิดการสะสมของตะกอนและมลพิษในแม่น้ำ ส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำดื่มและต่อชีวิตในน้ำ การเสื่อมโทรมของดินยังมีผลต่อก๊าซเรือนกระจก โดยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

คนในชุมชนต้องเผชิญกับปัญหามากมาย เนื่องจากดินที่อ่อนแอ การซ่อมแซมถนนและอาคารต้องใช้งบประมาณสูง และต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติมากขึ้น

วิกฤตการเสื่อมโทรมของดินในหุบเขาอาร์ติโบนิต แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการนำแนวทางการจัดการที่ดินที่ยั่งยืน การปลูกป่าใหม่ และการดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของดินและบรรเทาผลกระทบเชิงลบจากการเสื่อมโทรม

 

 

อ้างอิง : CSIC