‘โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์’ ผู้ที่สร้างหายนะแก่โลก ด้วยสาร CFC - ใส่ตะกั่วในน้ำมัน

‘โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์’ ผู้ที่สร้างหายนะแก่โลก ด้วยสาร CFC - ใส่ตะกั่วในน้ำมัน

“โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์” ผู้คิดค้นให้เอาสารตะกั่วไปใส่น้ำมัน เพื่อแก้ปัญหาเครื่องน็อค และผู้คิดค้นสาร “CFC” ที่ทำให้ชั้นโอโซนเป็นรู

KEY

POINTS

  • โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์” ผู้คิดค้นให้เอาสารตะกั่วไปใส่น้ำมัน เพื่อแก้ปัญหาเครื่องน็อค และผู้คิดค้นสาร “CFC” ที่ทำให้ชั้นโอโซนเป็นรู ได้รับขนานนามว่า “ผู้ที่สร้างหายนะทางสิ่งแวดล้อม
  • แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตะกั่วเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตราย แต่มิดจ์ลีย์ก็ยังเลือกนำมาใส่ในน้ำมัน ทั้งที่มีสารอื่น ๆ ที่ปลอดภัยกว่า เพราะสร้างรายได้ให้เขาอย่างมาก สุดท้ายพิษตะกั่วก็คร่าชีวิตคนไปนับไม่ถ้วน แต่กว่าที่สหรัฐจะเลิกใช้น้ำมันเบนซินผสมตะกั่วต้องรอถึงปี 1996
  • CFC ถูกผลิตมาใช้เป็นสารทำความเย็น ภายหลังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ จำนวนมาก และเมื่อสารนี้ลอยเข้าไปสู่ชั้นบรรยากาศก็ไปทำลายชั้นโอโซน จนกลายเป็นรูใหญ่ แม้ทุกวันนี้จะเลิกใช้ CFC ไปนานแล้ว แต่ชั้นโอโซนก็ยังไม่กลับมาเหมือนเดิม

ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีบุคคลมากมายที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่โลกใบนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่สร้างหายนะให้แก่โลก และยังส่งผลมาถึงปัจจุบัน ถึงสองครั้งสองคราในเวลาเพียงไม่นาน จนถูกยกย่องให้เป็น “ผู้ที่สร้างหายนะทางสิ่งแวดล้อม” ชื่อของเขาคือ “โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์” ผู้คิดค้นให้เอาสารตะกั่วไปใส่น้ำมัน เพื่อแก้ปัญหาเครื่องน็อค และผู้คิดค้นสาร “CFC” ที่ทำให้ชั้นโอโซนเป็นรู

ศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงที่การปฏิวัติอุตสาหกรรมแพร่ขยายไปทั่วโลก และเป็นจังหวะเดียวกับโลกของเราเริ่มได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การปล่อยคาร์บอนจากโรงงาน และรถยนต์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

 

น้ำมันผสมตะกั่วหายนะทางสุขภาพ

ขณะเดียวกัน โทมัส มิดจ์ลีย์ จูเนียร์ วิศวกรเคมีและนักประดิษฐ์ การเสนอให้ใช้สารประกอบที่เรียกว่า “เตตระเอทิลเลด” (TEL) เป็นสารประกอบของตะกั่วที่ใช้เติมในน้ำมันเบนซิน เพื่อป้องกันเครื่องยนต์น็อค 

แม้จะรู้อยู่แล้วว่าตะกั่วเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตราย แต่มิดจ์ลีย์ก็ยังเลือกนำมาใส่ในน้ำมัน ทั้งที่มีสารอื่น ๆ ที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งในตอนนั้นการทดลองนี้เป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ในวงการรถยนต์และเคมี จนในปี 1922 สมาคมเคมีอเมริกันได้มอบเหรียญวิลเลียม เอช. นิโคลส์ รางวัลที่มอบให้ผลงานด้านเคมีที่โดดเด่น แก่มิดจ์ลีย์ และสร้างรายได้ให้แก่เขาอย่างมาก

คุณลองนึกดูสิว่าเราจะทำเงินได้มากแค่ไหนจากสิ่งนี้ เราจะทำเงินได้ 200 ล้านดอลลาร์ หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ” มิดจ์ลีย์กล่าวระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์กับชาร์ลส์ เคตเทอริงในปี 1923 ขณะที่เขากำลังฟื้นตัวจากพิษตะกั่ว โดยแสดงให้เห็นว่าการสูดดมก๊าซที่มีตะกั่วเป็นเวลา 60 วินาทีนั้นปลอดภัยอย่างแน่นอน

แม้ว่าการค้นพบของมิดจ์ลีย์ในเวลานั้นจะดูเป็นก้าวสำคัญ จนได้รับเหรียญรางวัลและเกียรติยศในวงการวิทยาศาสตร์ แต่การค้นพบนี้กลับทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ คนงานในโรงงานเริ่มเสียชีวิตจากพิษสารตะกั่วที่มาจากการสูดดมน้ำมัน ส่งผลให้ต้องหยุดการผลิต TEL จนกระทั่งปี 1926 ได้ยกเลิกคำสั่งและกลับมาใช้ TEL ต่อไป เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ในเวลานั้นได้ข้อสรุปว่าต้องสัมผัสกับ TEL ที่มีความเข้มข้นสูงเท่านั้นถึงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และไม่มีหลักฐานว่าตะกั่วที่ออกมาจากท่อไอเสียของรถยนต์จะเป็นอันตราย ทำให้ไม่ดำเนินการหยุดยั้งใด ๆ

อย่างไรก็ตาม การศึกษาในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสกับตะกั่วแม้ในระดับต่ำในอากาศยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น ความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ เป็นพิษต่อไตและเลือด อีกทั้งสามารถทำลายพัฒนาการของเด็ก ทำให้สติปัญญาลดลงและผิดปกติทางพฤติกรรม คาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากพิษตะกั่วปีละ 1 ล้านคน ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก 

แต่กว่าที่สหรัฐจะเลิกใช้น้ำมันเบนซินผสมตะกั่วต้องรอถึงปี 1996 หลังจากนั้นค่อย ๆ ยกเลิกไปทั่วโลก โดยแอลจีเรียเป็นประเทศสุดท้ายที่ขายน้ำมันเบนซินที่มีตะกั่วจนถึงปี 2021 และปัจจุบันยังคงใช้สารเติมแต่งตะกั่วในเชื้อเพลิงเครื่องบินต่อไป การศึกษาวิจัยในปี 2022 ประมาณการว่าประชากรครึ่งหนึ่งของสหรัฐในปัจจุบันได้รับสารตะกั่วในระดับอันตรายในวัยเด็ก แต่ความเสียหายต่อสุขภาพโดยรวมของคนทั้งโลกนั้นยากที่จะวัดได้

“CFC” สร้างรั่วรูชั้นโอโซน

อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบแดงของมิดจ์ลีย์ก็คือ การคิดค้น “ฟรีออน” ซึ่งเป็นสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ CFC ชนิดแรก ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสารความเย็นของเครื่องปรับอากาศและตู้เย็นที่ไม่เป็นพิษและไม่ติดไฟ แทนที่สารเดิม เช่น แอมโมเนีย ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้ง โดยมิดจลีย์ได้สูดดมก๊าซดังกล่าวเข้าไปและเป่าเทียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าสารนี้ปลอดภัย

ภายหลังสาร CFC ยังใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยาฆ่าแมลง กระป๋องสเปรย์ฉีดผม และยาสูดพ่นสำหรับโรคหอบหืด รวมถึงในการผลิตโฟมสไตรีนอีกด้วย ด้วยการใช้งานที่หลากหลาย ทำให้ในทุกปีมี CFC ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนมาก

เมื่อสาร CFC เข้าสู่ชั้นโอโซน สารนี้จะสลายตัวลงด้วยรังสีจากดวงอาทิตย์ จนอะตอมของคลอรีนจับกับโอโซนเพื่อสร้างออกซิเจนและคลอรีนมอนอกไซด์ อะตอมของออกซิเจนที่หลุดออกมาจะกระแทกอะตอมของคลอรีนออกไปกลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้อะตอมของคลอรีนสามารถจับกับโมเลกุลโอโซนได้มากขึ้นและทำให้ชั้นโอโซนอ่อนแอลง

แม้ว่าจะมีหลักฐานที่แพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1970 ว่าสาร CFC อาจเป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศ แต่เมื่อถึงเวลาที่ผู้คนตระหนักถึงขนาดของภัยคุกคามในปี 1985 ก็เกิดรูขนาดใหญ่ในโอโซนเหนือทวีปแอนตาร์กติกาแล้ว และหากไม่แก้ปัญหานี้ ชั้นโอโซนจะถูกทำลายจนทำให้รังสีอัลตราไวโอเลตเข้ามาสู่โลกมากขึ้น เมื่อได้รับรังสียูวีมากเกินไปจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังในมนุษย์ อีกทั้งเป็นอันตรายต่อพืชและสัตว์อีกด้วย

เมื่อภัยพิบัติมาถึงหน้าบ้าน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกร่วมมือกันห้ามใช้ CFC และสารเคมีอื่น ๆ จำนวนมากที่ทำให้ชั้นโอโซนถูกทำลาย ภายใต้ข้อตกลงที่เรียกว่า “พิธีสารมอนทรีออล” ในปี 1989 ถือเป็นข้อตกลงด้านสภาพอากาศฉบับแรกที่ทุกประเทศในโลกให้สัตยาบัน และเป็นข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์

หากไม่มีความพยายามของนักวิทยาศาสตร์และนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนนับไม่ถ้วน ชั้นโอโซนคงถูกทำลายไปมากกว่านี้ จนไปถึงจุดที่ไม่อาจฟื้นตักลับมาได้ แม้ในตอนนี้จะเลิกใช้สาร CFC มาหลายสิบปีแล้ว แต่สหประชาชาติระบุว่าโอโซนในละติจูดเหนือจะฟื้นตัวภายในปี 2030 ส่วนในซีกโลกใต้เหนือแอนตาร์กติกาจะฟื้นตัวภายในปี 2050

การปกป้องชั้นโอโซนแสดงให้เห็นว่า หากมีความมุ่งมั่นและความร่วมมือเพียงพอมนุษย์ก็สามารถเอาชนะสถานการณ์ที่คิดว่าสิ้นหวังได้ แม้ว่าตอนนี้จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติโอโซนได้สำเร็จ แต่มนุษย์ยังคงเผชิญกับวิกฤติสภาพอากาศที่สร้างผลกระทบต่อทุกคนบนโลก และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งต้องรออย่างมีหวังว่าเราจะสามารถหยุดยั้งวิกฤตินี้ครั้งนี้ได้เหมือนกับที่เคยเป็นมา

มิดจ์ลีย์มีสิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นหนึ่งที่เป็นหายนะต่อตัวของเขาเอง ในปี 1940 เขาป่วยเป็นโรคโปลิโอซึ่งทำให้เขาต้องนอนติดเตียง มิดจ์ลีย์จึงคิดค้นระบบรอกและสายรัด เพื่อช่วยให้เขาขึ้นและลงจากเตียงได้ แต่อนิจจา เขาบังเอิญไปพันกับเชือกและรัดคอจนเสียชีวิต ปิดตำนานนักประดิษฐ์ที่สร้างหายนะให้กับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

ชีวิตของมิดจ์ลีย์กินเวลาเพียงเล็กน้อยในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ผลกระทบที่เขามีต่อโลกจะคงอยู่ยาวนานกว่านั้นมาก แต่เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มนุษยชาติต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เราจะเรียนรู้บทเรียนจากเรื่องราวของเขาและเรื่องราวของผู้ที่มารวมตัวกันเพื่อป้องกันภัยพิบัติที่เขาทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ หรือเราจะปล่อยให้มนุษยชาติต้องตายด้วยความประมาทและความไม่รู้จักพอของตนเอง ?

 

ที่มา: CNNInteresting EngineeringThe New York TimesThe Varsity