วิธีทีการดูแล ‘สุขภาพ’ ให้เหมาะสมในอนาคตที่ยั่งยืน

วิธีทีการดูแล ‘สุขภาพ’ ให้เหมาะสมในอนาคตที่ยั่งยืน

จะผลักดันให้มีการรับเข้าโรงพยาบาลที่สูงขึ้น การเข้าพักนานขึ้น และความจุส่วนเกินในโรงพยาบาล นั่นคือช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างความต้องการของผู้ป่วย

KEY

POINTS

  • การตั้งค่าการดูแลสุขภาพทั่วโลกอยู่ในจุดแตกหัก
  • ด้วยการบูรณาการการดูแลแบบดิจิทัลนอกกําแพงโรงพยาบาล การดูแลสุขภาพทุกที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ เป็นประโยชน์ต่อพนักงานและผู้ป่วย
  • ผู้นําด้านการดูแลสุขภาพในรัฐบาล นโยบาย และอุตสาหกรรมต้องทํางานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่นวัตกรรมเติบโตและการยอมรับนั้นราบรื่น

ในปี 2565 ภาคโรงพยาบาลมีการเติบโตอย่างมาก โดยมีส่วนแบ่งตลาดการดูแลสุขภาพทั่วโลกประมาณ 40% ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2572 ส่วนแบ่งนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 44% ซึ่งมีมูลค่าตลาดถึง 5.19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โรงพยาบาลจึงเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการดูแลสุขภาพที่พร้อมจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของสังคม

ระยะเวลาการพักรักษาตัว

องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จะมีการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 10 ล้านคนภายในปี 2573 ในปีเดียวกัน โรคเรื้อรังจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตถึง 84% ซึ่งจะนำไปสู่การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่สูงขึ้น การเข้าพักที่ยาวนานขึ้น และการใช้ความจุโรงพยาบาลที่เกินกำลัง นี่คือช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างความต้องการของผู้ป่วยกับความสามารถของระบบในการให้บริการ จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าเพียงแค่การเติบโต และต้องทำอย่างรวดเร็ว

"ปัจจุบัน ความแตกต่างของระยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยเฉลี่ยในกลุ่มประเทศสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่มีทั้งหมด 38 ประเทศ ประกอบด้วยประเทศจากทวีปอเมริกาเหนือและใต้, ยุโรป, และเอเชียแปซิฟิก นั้นกว้างมาก มีตั้งแต่ระยะสั้นๆ เฉลี่ย 4.3 วัน ในเนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงมากกว่า 16.5 วันในญี่ปุ่น

ส่วนในยุโรประยะเวลาการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลโดยเฉลี่ยยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีสั้นลงบ้างในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องของระยะเวลาพักตัวนี้สำคัญมาก เนื่องจากระยะเวลาที่นานหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น และส่งผลต่อผลลัพธ์ของการรักษา นอกจากนั้น ปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อประชากรมีอายุมากขึ้น และความต้องการการดูแลเพิ่มขึ้น จึงไม่ส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนในการรักษา

วิธีจัดการกับความท้าทาย

การจะจัดการกับความท้าทายนี้ มีหลายปัจจัย เช่น

1. ดูแลผู้ป่วยนอกสถานที่ผ่านเทคโนโลยี

โรงพยาบาลต้องเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผนวกการเชื่อมต่อกับร้านขายยา แพทย์ประจำครอบครัว คลินิกผู้ป่วยนอก และผู้ให้บริการดูแลที่บ้าน ผ่านแพลตฟอร์มบนคลาวด์ที่ปลอดภัย โรงพยาบาลแห่งอนาคตจะเผชิญความท้าทายเหล่านี้ ต้องย้ายการดูแลออกนอกโรงพยาบาลมากขึ้น แทนที่จะเป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกแบบสแตนด์อะโลน

2. Patient Journey ในยุคดิจิทัล

โซลูชั่นดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลจะเปลี่ยนเส้นทางของผู้ป่วย (Patient Journey) โดยนับตั้งแต่ปี 2562 ตลาดสุขภาพดิจิทัลได้เติบโตในอัตราเกือบ 25% ต่อปี และคาดว่าภายในปี 2568 ตลาดนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 660 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 175 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562

ดังนั้น ผู้ป่วยจะใช้เวลาเข้าโรงพยาบาลน้อยลง มีการเยี่ยมน้อยลง และผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ทั้งยังสามารถเข้าถึงเวชระเบียนของตนได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปที่ใช้งานง่าย การเข้าถึงผู้ให้บริการมีความคล่องตัวในการนัดหมายและการจัดการการรักษา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การดูแล Patient Journey ผ่านการใช้งานดิจิทัลและเวิร์กโฟลว์ที่บูรณาการระหว่างแต่ละแผนกจะช่วยให้การดำเนินงานด้านการดูแลสุขภาพราบรื่นขึ้นและใช้เวลารอสั้นลง ทำให้มั่นใจได้ถึงแนวทางการดูแลที่มีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นผู้ป่วยมากขึ้น"

3. AI ช่วยแพทย์มีเวลาสื่อสารกับผู้ป่วย

ด้วยการเติบโตในการใช้ของ AI ในการดูแลสุขภาพท คาดว่าจะมากกว่า 48% ต่อปีจนถึงปี 2572 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติจะช่วยปรับปรุงและทำให้งานประจำของโรงพยาบาลง่ายขึ้น ทำให้แพทย์และพยาบาลมีเวลาเพื่อมุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่

AI ทำให้การดูแลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์น่าไว้วางใจมากขึ้น และผู้ป่วยมีผ่านประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น AI ถูกนำมาใช้ในคลินิกเพื่อถอดเสียงการสัมภาษณ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ช่วยบันทึกข้อมูลรักษาอัตโนมัติ ลดเวลาในการทำงานจากหลายชั่วโมงให้เหลือเพียงไม่กี่นาที ด้วย AI ทำให้แพทย์มีเวลาในการสื่อสารในประเด็นที่มีความหมายและสำคัญกับผู้ป่วยได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความไว้วางใจเพิ่มขึ้น

นอกจากงานประจำแล้ว AI ยังช่วยในการตัดสินใจที่สำคัญในห้องฉุกเฉิน ช่วยเร่งการวินิจฉัยและการรักษา เช่น ในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการถ่ายภาพและการวินิจฉัย ในการผ่าตัด หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น ระบบ Da Vinci ช่วยให้ทีมผ่าตัดทำงานได้อย่างแม่นยำและมีการควบคุมที่ดีขึ้น

4. Big Data ทรัพยากรที่มีค่าทางการแพทย์

โรงพยาบาลเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่มีคุณค่า (Big Data) แต่ประมาณ 97% ของข้อมูลเหล่านี้ยังคงไม่ถูกใช้งานเพื่อประโยชน์สูงสุด นั่นหมายถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่พลาดไป ดังนั้น โรงพยาบาลต้องแปลงข้อมูลดิบให้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง เพื่อจะสามารถทำนายแนวโน้มของโรค ปรับปรุงประสิทธิภาพในการรักษา และส่งมอบการดูแลที่มีความเฉพาะคนมากขึ้น

Data เป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมโยงการปฏิบัติทางคลินิกกับการวิจัย สร้างความร่วมมือที่ส่งผลให้ผลลัพธ์ของผู้ป่วยดีขึ้น สิ่งนี้ปลดล็อกวงจรตอบรับที่ทรงพลัง ซึ่งการดูแลจะขับเคลื่อนนวัตกรรมและนวัตกรรมจะช่วยพัฒนาการดูแล

5. คุณภาพที่วัดได้และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก มีโอกาส 1 ใน 300 ที่ผู้ป่วยทั่วโลกจะได้รับอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจขณะได้รับการดูแล ตัวเลขนี้แตกต่างกันมากระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว

ดังนั้น โรงพยาบาลแห่งอนาคตต้องกำหนดมาตรฐานการดูแลใหม่ ไม่เพียงแค่พยายามรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ต้องมีความทะเยอทะยานในการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานในการดูแลที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม การยอมรับนวัตกรรมทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมทางการแพทย์ยังคงไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพภาครัฐบาล เอกชน ต้องร่วมกันช่วยกันสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรมและการยอมรับอย่างราบรื่น เพราะความร่วมมือกันทำให้เรามีโอกาสที่จะสร้างการดูแลสุขภาพที่ทันสมัย ก้าวเข้าสู่ 'ยุคอัจฉริยะ' ที่กำลังมาถึง