‘ฉลาม-กระเบน’ ลดลงเกินครึ่ง สายพันธุ์ 33% เสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่ามากเกิน

‘ฉลาม-กระเบน’ ลดลงเกินครึ่ง สายพันธุ์ 33% เสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่ามากเกิน

จำนวน “ฉลาม” และ “ปลากระเบน” ลดลงมากกว่า 50% นับตั้งแต่ปี 1970 โดยสาเหตุหลักมาจาก “การประมงเกินขีดจำกัด” (overfishing)

KEY

POINTS

  • การทำประมงและการล่าปลาทำให้ฉลามและปลากระเบนมีจำนวนลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
  • ปัจจุบัน ปลากระดูกอ่อนกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ 
  • จำนวนปลาที่ถูกจับจากการทำประมงเพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันการทำประมง 1 ใน 3 ของโลก ถือเป็นการประมงเกินขีดจำกัด

รายงานจาก องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ที่รวบรวมความรู้ด้านชีววิทยา การประมง การค้า ความพยายามในการอนุรักษ์ และการปฏิรูปนโยบายสำหรับกลุ่มปลากระดูกอ่อน ไดเแก่ ฉลาม ปลากระเบน และปลาคิเมียรา ซึ่งมีความใกล้ชิดกับฉลาม จนบางครั้งถูกเรียกว่า ฉลามผี ใน 158 ประเทศและเขตแดน เผยให้เห็นว่า การทำประมงและการล่าปลาทำให้ปลาเหล่านี้มีจำนวนลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา

สายพันธุ์ที่ลดลงอย่างมากตามรายงาน ได้แก่ ปลากระเบนราหู ปลากระเบนแรด ปลากระเบนธง ปลากระเบนนก ฉลามเทวดา ฉลามหัวค้อน และฉลามแนวปะการัง รวมถึงฉลามน้ำลึกที่ถูกจับมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม 

รายงานฉบับนี้มีความยาวมากกว่า 2,000 หน้า โดยเป็นรายงานต่อจากรายงานเมื่อปี 2548 ที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดค้าครีบฉลามทั่วโลก สวนทางกับการอนุรักษ์ที่อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลากระเบนและปลาคิเมียรา

ปัจจุบันความต้องการเนื้อฉลามทั่วโลกเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า โดยปัจจุบันมูลค่าของเนื้อฉลามและปลากระเบนสูงกว่ามูลค่าการค้าครีบฉลามทั่วโลกถึง 1.7 เท่า การค้าขายมีความหลากหลายมากขึ้น และผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น แผ่นเหงือกปลากระเบน น้ำมันตับปลา และหนังปลา มีมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ในโอมาน น้ำมันตับฉลามถูกใช้เป็นอายไลเนอร์แบบดั้งเดิม ส่วนในสหรัฐใช้ปลากระเบน ฉลามมาโก และฉลามหางยาว เป็นเมนูอาหารสุดฮิตในร้านอาหาร เช่นเดียวกับในฝรั่งเศสและเบลเยียมที่นำปลาเหล่านี้มาทำอาหาร

หนังปลากระเบนและฉลามถูกนำมาทำเป็นรองเท้า กระเป๋าสตางค์ เข็มขัด กระเป๋าถือ และกระเป๋าเงินหาซื้อได้ทั่วไปในประเทศไทยและทั่วทั้งยุโรป ขณะที่เยเมน มีรายงานว่านำเอากระจกตาของฉลามไปใช้ปลูกถ่ายในมนุษย์ และกระดูกอ่อนนำไปใช้รักษาโรคต่าง ๆ ของมนุษย์

นอกจากจะเป็นนักล่าแล้ว กลุ่มปลาโบราณเหล่านี้ ยังเพิ่มความหลากหลายทางระบบนิเวศ แต่พวกมันกำลังถูกมนุษย์ล่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีมากกว่า 1,199 สายพันธุ์ที่กำลังถูกคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าปัจจุบันเราจะรู้เกี่ยวกับสัตว์เหล่านี้มากขึ้นกว่าที่เคย แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าพวกมันลดลงมากเพียงใด ก็จะทำให้เราไม่สามารถช่วยเหลือสายพันธุ์เหล่านี้ได้ทัน

ศ.โคลิน ซิมเฟนดอร์เฟอร์ จากมหาวิทยาลัยเจมส์ คุก ประเทศออสเตรเลีย ผู้เขียนร่วมของงานวิจัยกล่าวว่า ปลาเหล่านี้ถูกจับทั้งจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ เช่น ติดมากกับอวนลาก ถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงของพวกมัน และยังถูกซ้ำเติมด้วยการภาวะเสื่อมโทรมของถิ่นที่อยู่อาศัย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมลพิษ

ปัจจุบัน ปลากระดูกอ่อนกว่า 1 ใน 3 ของทั้งหมดกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ การลดลงของจำนวนฉลามและปลากระเบนอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำทั้งหมด เพราะพวกมันเป็นสัตว์นักล่าที่สำคัญ หากพวกมันสูญพันธุ์จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทั่วทั้งมหาสมุทร

ฉลามและปลากระเบนเป็นสัตว์นักล่าที่ที่เชื่อมโยงระบบนิเวศเข้าด้วยกัน เช่น ฉลามแนวปะการังมีความสำคัญในการถ่ายโอนสารอาหารจากแหล่งน้ำลึกไปยังแนวปะการัง ซึ่งช่วยรักษาระบบนิเวศเหล่านั้นไว้ได้ ส่วนปลากระเบนเป็นสัตว์ที่หากินที่สำคัญ โดยจะผสมและเพิ่มออกซิเจนให้กับตะกอน ซึ่งส่งผลต่อผลผลิตทางทะเลและการกักเก็บคาร์บอน

นอกจากนี้ ป่าเหล่านี้ยังสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารในชุมชนชายฝั่งที่เปราะบาง ในประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ ชาวประมงรายงานว่ารายได้มากกว่า 80% ของพวกเขาขึ้นอยู่กับการประมงฉลามและกระเบน

“เราเพิ่งจะเริ่มตีความบทบาทของพวกมันในการส่งมอบทรัพยากรและบริการที่ช่วยชีวิตได้ สายพันธุ์บางชนิดหมุนเวียนสารอาหารรอบมหาสมุทร ในขณะที่สายพันธุ์อื่นช่วยเราต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนหรือรักษาระบบนิเวศที่กักเก็บคาร์บอน เช่น ป่าชายเลน” ดร.ริมา จาบาโด รองประธาน IUCN SSC และประธาน SSG ซึ่งเป็นผู้นำรายงานประจำปี 2024 กล่าว

ศ.นิโคลัส ดัลฟ์วี ผู้เขียนหลักจากมหาวิทยาลัยไซมอน เฟรเซอร์ในแคนาดา กล่าวว่า การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ฉลามและปลากระเบนเริ่มลดลงจากพื้นที่บริเวณจากแม่น้ำ ปากแม่น้ำ และน่านน้ำชายฝั่งใกล้ชายฝั่ง จากนั้นก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วมหาสมุทรและลงไปในทะเลลึก

แม้จะมีแนวโน้มที่ปลากระดูกอ่อนหลายชนิดสูญพันธุ์ แต่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าเรายังสามารถป้องกันปัญหานี้ได้อยู่

การประมงเกินขีดจำกัดจะเกิดขึ้นเมื่อมีการจับปลามากเกินไป และไม่มีปลาเหลือเพียงพอที่จะเพาะพันธุ์ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรให้ยั่งยืน จำนวนปลาที่ถูกจับจากการทำประมงเพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ในปัจจุบันการทำประมง 1 ใน 3 ของโลก ถือเป็นการประมงเกินขีดจำกัด ซึ่งเกินขีดจำกัดทางชีวภาพ ตามข้อมูลขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ  (UNFAO)

อินโดนีเซีย สเปน และอินเดีย เป็นประเทศที่ทำประมงฉลามมากที่สุดในโลก ส่วนเม็กซิโกและสหรัฐติดอันดับ 5 ประเทศที่จับฉลามได้มากที่สุด แต่ทั่วโลกมีการจับฉลามได้เพียง 26% เท่านั้น โดยส่วนใหญ่ถูกจับและเก็บไว้ ไม่ปล่อยคืนลงท้องทะเล ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามทางทะเลที่ร้ายแรงเช่นกัน ดังนั้นทั่วโลกสามารถลดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ได้ด้วยการทำการประมงให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน เสริมสร้างการกำกับดูแลการประมง และไม่สนับสนุนการทำประมงเกินขีดจำกัด

“รายงานฉบับนี้เป็นการเรียกร้องให้ดำเนินการเพื่อให้เราสามารถทำงานร่วมกันและทำให้ข้อเสนอแนะของแต่ละประเทศให้เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการประมงอย่างรับผิดชอบ นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่สัตว์เหล่านี้จะสามารถอยู่รอดและเจริญเติบโตต่อไปในระบบนิเวศทางน้ำได้” ดร.จาบาโดกล่าว


ที่มา: ForbesEuro NewsIUCNNOAA